
นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า แม้ว่ากฎหมายหลักทรัพย์ที่มีอยู่จะมีความเข้มแข็งพอสมควร แต่ยังมีปัญหาเร่งด่วนคือกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่มีความล่าช้า โดยเฉพาะการสอบสวนที่มีความซ้ำซ้อน ทำให้การลงโทษผู้กระทำผิดไม่ทันการณ์ และความเสียหายยังคงขยายวงกว้าง
ดังนั้น จำเป็นต้องขับเคลื่อนแผนปฏิรูปกฎหมายตลาดทุนครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดระยะเวลาการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในตลาดทุน จากเดิมใช้เวลานานถึง 2-3 ปี และบางคดีอาจถูกยกฟ้อง เนื่องจากความล่าช้าและไม่ทันการณ์ ต้องพิจารณาคดีให้เหลือเพียง ไม่เกิน 12 เดือน พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการยึดอายัดทรัพย์สินตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างความยำเกรงให้แก่ผู้ที่คิดจะกระทำผิด
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า การลดระยะเวลาคดีไม่ใช่แค่เรื่องกระบวนการ แต่คือการสร้างความเกรงกลัวให้กับผู้คิดจะกระทำผิด และ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศว่าตลาดทุนไทยจะไม่เป็นที่ที่คนโกงใช้หากินได้ง่ายอีกต่อไป
ขณะเดียวกันตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประสานความร่วมมือเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็ว จากเดิมใช้เวลาประมาณ 60-180 เดือน (หรือ 5-9 ปี) ต่อกรณี เป็น 12-36 เดือน (หรือ 1-3 ปี) ต่อกรณี นอกจากนี้ ในการตรวจจับการทุจริตเชิงป้องกันได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตรวจจับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติ
อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแก้ไขเกณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้สอบบัญชี” เพื่อป้องกันความเสียหายที่กระจายวงกว้าง โดยให้ผู้สอบบัญชีต้องรายงานข้อมูลที่ผิดปกติให้แก่คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ซึ่งจะต้องเปิดเผยต่อตลาดทันที หากพบความผิดปกติในงบการเงิน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 68)