ทรัมป์คอนเฟิร์มเอง เตรียมเดินสายเยือนมาเลเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เปิดเผยในวันจันทร์ (20 ต.ค.) ว่า เขาจะเดินทางเยือนมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในเร็ว ๆ นี้ พร้อมแสดงความตั้งใจที่จะ “ญาติดีกับจีน” และหวังว่าจะบรรลุ “ข้อตกลงที่ยอดเยี่ยม” สำหรับทั้งจีนและสหรัฐฯ

แม้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะกลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง แต่ทรัมป์ยังคงกล่าวถ้อยคำในเชิงบวกก่อนการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ที่อาจเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ในสัปดาห์หน้า

ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ในระหว่างพบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ของออสเตรเลีย ว่า “เราจะได้ข้อตกลงที่เป็นธรรม ผมต้องการดีกับจีน ผมรักความสัมพันธ์ของผมกับปธน.สี” พร้อมกล่าวด้วยว่า เกาหลีใต้จะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการพบกัน

“เรากำลังจะได้พบกัน ผมจะไปมาเลเซีย ผมจะไปญี่ปุ่น” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวย้ำหลายครั้งว่า เขามีกำหนดที่จะเจรจาแบบตัวต่อตัวกับปธน.สี เมื่อผู้นำทั้งสองเดินทางไปยังเกาหลีใต้เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ช่วงปลายเดือนต.ค. อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทรัมป์กล่าวถึงแผนการเยือนมาเลเซียและญี่ปุ่นต่อสาธารณะด้วย แม้เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ตาม

แหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ทรัมป์จะเดินทางเยือนญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. หลังเดินทางเยือนมาเลเซียเพื่อเข้าร่วมการประชุมกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตร

ทั้งนี้ เกือบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ทรัมป์จะเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และมีบทบาทมากขึ้นในการรักษาความมั่นคงของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ระหว่างการเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวยังเผยด้วยว่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นระหว่างสองประเทศ กำหนดการของทรัมป์อาจรวมถึงการตรวจเยี่ยมฐานทัพเรือสหรัฐฯ ใกล้กรุงโตเกียว ตลอดจนการเข้าเฝ้าฯ จักรพรรดินารุฮิโตะ และการพบปะกับซานาเอะ ทาคาอิจิ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่และนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้หลังเสร็จสิ้นการเยือนญี่ปุ่น

การเดินทางเยือนเอเชียที่กำลังจะมาถึงนี้จะเป็นครั้งแรกของทรัมป์ในภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่ที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองเมื่อเดือนม.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 68)