
นางสาว ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดย กรมสรรพากร ได้ออก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 456) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายที่เกิดจากการจัดอบรม สัมมนา หรือการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และได้ ขยายเขตพื้นที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมจากจังหวัดท่องเที่ยวรอง เพื่อให้นิติบุคคลสามารถใช้สิทธิหักรายจ่ายได้มากขึ้น
มาตรการดังกล่าวมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการจัดกิจกรรมในประเทศได้ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดประชุม อบรม และสัมมนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่ที่ได้รับสิทธิตามประกาศฉบับนี้ ครอบคลุมอำเภอในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กระบี่, เชียงใหม่, นครราชสีมา, ชลบุรี, สุราษฎร์ธานี, กาญจนบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, พังงา, ระยอง, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, ขอนแก่น, ฉะเชิงเทรา และ สงขลา โดยในแต่ละจังหวัดได้ระบุ “อำเภอที่มีสิทธิเทียบเท่าเมืองรอง” อย่างชัดเจน อาทิ
กระบี่: เขาพนม, ปลายพระยา, ลำทับ
เชียงใหม่: สารภี, สันทราย, แม่แตง, แม่วาง, ดอยสะเก็ด, อมก๋อย ฯลฯ
นครราชสีมา: ปักธงชัย, พิมาย, วังน้ำเขียว, สีคิ้ว, ด่านขุนทด, เสิงสาง ฯลฯ
ชลบุรี: บ้านบึง, พานทอง, พนัสนิคม, หนองใหญ่ ฯลฯ
สุราษฎร์ธานี: กาญจนดิษฐ์, พุนพิน, ดอนสัก, ไชยา, วิภาวดี ฯลฯ
และจังหวัดอื่นอีกกว่า 10 จังหวัดทั่วประเทศ
รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่า มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาษีเพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจจัดประชุม อบรม และสัมมนาภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและช่วยกระจายรายได้สู่ภูมิภาค โดยนิติบุคคลที่จัดกิจกรรมในพื้นที่ที่อยู่ในรายชื่อดังกล่าวจะได้รับสิทธิ หักรายจ่าย 2 เท่า ขณะที่พื้นที่อื่นสามารถใช้สิทธิ หักรายจ่าย 1.5 เท่า ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ยังคงเดินหน้านโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยใช้มาตรการทางภาษีเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ต.ค. 68)