CONSENSUS: BBIK ขาขึ้นกำลังมา รับ Virtual Banking – กระแส AI หนุนปี 69 โตเด่น

โบรกเชียร์ “ซื้อ” หุ้นบมจ.บลูบิค กรุ๊ป [BBIK] คาดกำไรกลับมาฟื้นในไตรมาส 4/68 และเติบโตโดดเด่นในปี 69 จาก Virtual Bank และกระแส AI โลก ยังเป็นแรงหนุนสำคัญในระยะยาว ทำให้การใช้จ่ายด้านไอทีกลับมาคึกคัก ขณะเดียวกันคาดว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นตามประสิทธิภาพการทำงานและการลดต้นทุน

ขณะที่ ราคาหุ้นในปัจจุบันยังต่ำสวนทางแนวโน้มกำไรในปี 69-70 ที่เติบโตสูง โดยหุ้น BBIK ซื้อขายที่ค่า P/E ปี 2568/2569 เพียง 13 เท่า/11 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มบริการเทคโนโลยี

ราคา BBIK ปิดที่ 20.50 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.49%)

นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า BBIK มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางที่ชัดเจนขึ้นจาก Cloud First Policy และ Virtual Banking (ธนาคารเสมือนจริง) ที่เริ่มเข้ามาในไตรมาส 4/68 และปี 69 ช่วยหนุนผลประกอบการ BBIK ดีขึ้น และปัจจัยหนุนตามฤดูกาลในไตรมาส 3/68 ที่น่าจะค่อนข้างดี รวมทั้งมีมุมมองบวกกระแสความนิยม AI ทั่วโลกก็ น่าจะทำให้การใช้จ่ายเรื่องของไอทีเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้คาดโครงการธนาคารเสมือนจริงและนโยบาย Cloud First จะเริ่มในปี 69 ซึ่งเป็นนโยบายของภาครัฐ โดย Virtual Bank น่าจะเริ่มมีส่วนช่วยเล็กน้อยตั้งแต่ไตรมาส 3/68 มี Project pipeline ที่คาดว่าจะประมูลประมาณ 80-100 ล้านบาท คิดเป็น 5-6% ของรายได้ปี 69 ส่วนรายได้จากนโยบาย Cloud First ประเมินขนาดโครงการที่เป็นไปได้ไว้ที่ 100 ล้านบาท

เราคาดว่า BBIK จะได้รับประโยชน์จากแรงหนุนตามฤดูกาลใน ไตรมาส 3/68 อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 84% และยอดรวมดอกเบี้ยสุทธิ (MTD) เดือนตุลาคมสูงกว่าระดับปี 2566 (ซึ่งเป็นปีที่ปกติ) แล้ว แม้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน การใช้จ่ายด้านไอทีในภาคธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกฎระเบียบด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มงวดขึ้นหลังจากมาตรการป้องกันการหลอกลวงล่าสุด ในระดับมหภาค การใช้จ่ายโดยรวมน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นใน ไตรมาส 4/68 คาดว่าอัตรากำไรจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากกลยุทธ์การกำหนดราคาที่สมดุลและการบริหารจัดการจำนวนพนักงานอย่างมีวินัย

“ขณะที่ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงราว 20% เชื่อว่าข่าวร้ายต่าง ๆ จบไปแล้ว และจากไตรมาส 3/68 ไปน่าจะค่อย ๆ Turnaround”

เรามองว่าผลตอบแทนจากความเสี่ยงของ BBIK ในปัจจุบันมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ราคาหุ้นลดลง 26% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทย ปัจจุบัน BBIK ซื้อขายอยู่ที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ปี 2569 ที่ 11 เท่า (กำไรต่อหุ้นเติบโต 20%) ซึ่งต่ำกว่าบริษัทผู้ให้บริการไอทีระดับโลกอื่นๆ ที่ 14 เท่า (กำไรต่อหุ้นเติบโต 13%) ความเสี่ยงด้าน downside ที่สำคัญ ได้แก่ ความล่าช้าในการเผยแพร่งบประมาณ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การแข่งขันที่รุนแรง และความเสี่ยงด้านชื่อเสียง

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจไอทีโซลูชัน เป็นผลจากศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งและบทบาทสำคัญของธุรกิจในยุคดิจิทัล นโยบายภาครัฐ และการเข้ามาลงทุนของต่างประเทศในธุรกิจ Data Center และ Cloud Service โดยอุตสาหกรรมเติบโตสูง +13%CAGR ในปี 64-67 และคาดว่า IT Spending และค่าใช้จ่ายด้าน IT Security จะเติบโตสูงต่อเนื่อง

Virtual Bank: ตัวขับเคลื่อนหลักในระยะสั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศผู้ผ่านการคัดเลือก Virtual Bank 3 ราย ซึ่ง BBIK ประเมินว่ามูลค่างานพัฒนาระบบค่อนข้างสูง ราว 1 พันล้านบาทต่อราย และด้วยกรอบระยะเวลาเตรียมพร้อมเพียงหนึ่งปี คาดว่าจะมีการเร่งจัดจ้างที่ปรึกษาและแบ่งสัญญาเพื่อให้งานเสร็จทันกำหนด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษา รวมถึง BBIK ได้รับประโยชน์ โดยปัจจุบัน BBIK อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า

BBIK พร้อมจับเทรนด์ AI ในตลาด มูลค่าตลาด AI คาดว่าจะเติบโตสูงถึง +28% CAGR ในปี 68-73 ทำให้ BBIK มอง AI เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญในระยะยาว บริษัทจึงใช้กลยุทธ์ Bundled Service ผสานบริการครบวงจรด้าน Machine Learning, Predictive Analytics, Risk Model, Agentic AI และ Chatbot ขณะเดียวกันยังมุ่งใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดต้นทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้นต่อเนื่อง

M&A และการขยายธุรกิจต่อเนื่องหนุนการเติบโตแบบ Inorganic หลังจากการเข้าซื้อกิจการ “อินโนวิซ โซลูชั่นส์” และ “วัลแคน” ซึ่งสำเร็จด้วยดีตามกำไรที่เติบโตสูง เรามองว่า BBIK จะใช้กลยุทธ์ M&A อีกในอนาคตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและขยายฐานธุรกิจและลูกค้าใหม่ BBIK มีเงินสดในมือราว 500 ล้านบาทไม่มีหนี้สิน และคาด Operating Cash Flow ราว 300 ล้านบาท/ปีที่พร้อมลงทุนใหม่ นอกจากนั้นก็คาดว่าจะมีการ Spin-off บ.ลูก เพื่อทำ IPO อันเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับ BBIK พร้อมแผนระยะยาวเพื่อเข้าสู่ SET100 ภายใน 3 ปี

ขณะที่แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/68 อาจไม่โดดเด่นนัก มูลค่างานใหม่ที่ลดลงเนื่องจากการชะลอการตัดสินใจของลูกค้า อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/68 จะกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง จากมูลค่างานใหม่ที่เพิ่มขึ้นและการรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี ส่งผลให้คาดว่ากำไรทั้งปีนี้ +9% YoY เราคาดกำไรปี 69-70 เติบโตโดดเด่นขึ้น +15% YoY และ +13% YoY ตามลำดับ ตามมูลค่างานใหม่จาก Virtual Bank และ AI Transformation ซึ่งจะหนุนให้ Backlog กลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง และคาดว่าอัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นตามประสิทธิภาพการทำงานและการลดต้นทุน

แนะนำ “ซื้อ” เพื่อการลงทุนระยะยาว เราประเมินราคาเป้าหมายที่ 28 บาท ซึ่งเทียบเท่า FY69F P/E 14.8x P/E ปัจจุบันเพียง 11x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (รวมถึงหุ้น IDG ซึ่งทำธุรกิจคล้ายคลึงกันกำลังเสนอขาย IPO ด้วย P/E 17.6x) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก มองเป็นโอกาส “ซื้อ” เพื่อการลงทุนระยะยาว จากรอบการเติบโตใหม่จาก Virtual Bank และ AI Tranformation ทำให้แนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง และ Upside จากดีล M&A ใหม่

ความเสี่ยงสำคัญได้แก่ การเลื่อนโครงการ Virtual Bank จากลูกค้า ความล่าช้าในการลงทุนของภาครัฐและเอกชน การขาดแคลนบุคลากรทำให้ Utilization rate ต่ำกว่าคาด ความเสี่ยงจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (M&A) ที่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามแผน และกำไรที่อาจไม่โดดเด่นนักในไตรมาส 3/68

ด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เรายังคงแนะนำ ซื้อ หุ้น BBIK จากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรหลักปี 68/69 ที่แข็งแกร่ง 10%/14% ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก 1) โครงการธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) และบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI และ 2) อัตราการใช้บุคลากร (staff utilisation) ที่สูงขึ้น ทั้งนี้ หุ้น BBIK ซื้อขายที่ค่า P/E ปี 2568/2569 เพียง 13 เท่า/11 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มบริการเทคโนโลยี โดยราคาเป้าหมายอิงวิธี DCF สิ้นปี 2569 ยังคงอยู่ที่ 28.20 บาท คิดเป็นค่า P/E ปี 2569 ที่ 15 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีที่ 33 เท่าอยู่ราว 1.5 SD)

โดยคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต QoQ ในช่วง ไตรมาส 3/68 – ไตรมาส 4/68 จากแรงหนุนของการได้งานโครงการใหม่ โดยกำไร ไตรมาส 4/68 น่าจะแข็งแกร่งกว่า ไตรมาส 3/68 จากโครงการ Virtual Bank ทั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินยังมองว่า BBIK จะได้เซ็นสัญญาโครงการ Virtual Bank เพิ่มเติมในช่วงต้น ไตรมาส 4/68 สำหรับปี 2568 เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโต 10% จากการเติบโตของรายได้ 4% และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น โดยกำไรหลักจะเติบโตสูงกว่ารายได้เนื่องจาก 1) อัตราการใช้บุคลากรที่เพิ่มขึ้น และ 2) การควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะค่า outsource และทีมงานต่างประเทศ

ยังคาดว่าการเติบโตของกำไรหลักจะเพิ่มจาก 10% ในปี 2568 เป็น 14% ในปี 2569 ตามการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้น (4% ในปี 2568 เทียบกับ 9% ในปี 2569) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยับขึ้นเล็กน้อย (49.5% ในปี 2568 เทียบกับ 50.4% ในปี 2569) เราคาดว่ารายได้จะฟื้นตัวในปี 2569 เนื่องจากปี 2568 ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าทั่วโลก (เม.ย.-ก.ค.) และการเลื่อนโครงการของภาครัฐ (ตั้งแต่กลาง มิ.ย.) ซึ่งเมื่อประเด็นภาษีสหรัฐฯ เริ่มนิ่ง และรัฐบาลมีความชัดเจนมากขึ้น จะเอื้อต่อการเปิดประมูลโครงการใหม่ในปี 2569

โดยค่า P/E ปี 2568/2569 เพียง 13 เท่า และ 11 เท่า ทำให้ BBIK เป็นหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่มที่เราวิเคราะห์ และยังถูกกว่า SAMTEL และ DITTO ซึ่งซื้อขายที่ค่า P/E ปี 2568 ราว 16 เท่า (ดูรายละเอียดในรายงาน Tech Service วันที่ 6 มิ.ย.) ปัจจัยหนุนที่อาจทำให้มูลค่า BBIK ปรับขึ้น (Re-rating catalyst) คือกำไรหลัก ไตรมาส 4/68 ที่แข็งแกร่ง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ต.ค. 68)