
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP] กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในปี 68 คาดว่า EBITDA จะทำได้ไม่ถึงเป้าหมาย 18,000 ล้านบาท แม้ว่าปริมาณการขายงวด 9 เดือนปี 68 จะเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค ประกอบกับ เงินบาทแข็งค่ามากส่งผลให้ EBITDA ย่อตัวลงจากเป้าเดิม อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า EBITDA ทั้งปี 68 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 67 ที่มี EBITDA 16,127 ล้านบาท
“ปริมาณขายงวด 9 เดือนปี 68 โต 3% ขณะที่ปริมาณส่งออกจีนลดลง เนื่องจากบริษัทกระจายความเสี่ยงไปยังอินเดีย แต่ด้วยราคาขายในภูมิภาคปีนี้ลดลง ดังนั้น EBITDA ทั้งปีย่อลงตามยอดขายที่ลดลง แต่ EBITDA ทั้งปีไม่น่าน้อยกว่าปีที่แล้ว”นายวิชาญ กล่าว
ในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดจะไม่มีการปิดดีลเพิ่ม แต่ยังมีการพูดคุยเจรจาลงทุนอยู่ โดยจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมก่อนเข้าลงทุน หลังจากล่าสุดบริษัทได้สรุปดีลซื้อกิจการ PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษในอินโดนีเซีย มูลค่าไม่เกิน 956 ล้านบาทคาดแล้วเสร็จเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มเข้ามาราวปีละ 1.8 พันล้านบาทตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป โดยจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ประเมินส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจ SCGP ในอินโดนีเซียจะเพิ่มจากเดิม 7% เป็น 10%
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 68 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค เพิ่มขึ้นเป็น 47% เข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้ 50% ในปี 73 แล้ว บริษัทจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับเป้าหมายใหม่อาจขยับขึ้นไปเป็นไม่เกิน 55% ซึ่งการขยายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคจะทำให้ผลการดำเนินงานมีความมั่นคงมากขึ้น
นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มเติบโตจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลเฉลิมฉลอง และปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 3/68 ตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนขยายตัวต่อเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก แต่ในด้านราคายังคงมีความผันผวน โดยราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค
SCGP ได้เพิ่มศักยภาพการทำกำไรและความสามารถการแข่งขันด้วยกลยุทธ์การเติบโตภายในประเทศกลุ่มอาเซียน การวางโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและสภาพตลาดที่หลากหลาย ตลอดจนการขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ส่งผลให้ปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเฉลี่ยยังปรับลดลงตามแนวโน้มของตลาด
“อินเดียคือตลาดที่มารองรับการส่งออกไปจีนที่ลดลง ซึ่ง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้ดีมาก อีกทั้งนอกจากจะส่งออกได้แล้ว จะทำให้เราสามารถเข้าใจตลาดอินเดียมากขึ้น เป็นฐานในการขยายการลงทุนในอินเดียในอนาคต”นายวิชาญ กล่าว
บริษัทยังมุ่งจัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 38.6 นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับใช้อีกทั้งยังเน้นการบริหารต้นทุน และบูรณาการห่วงโซ่อุปทานของโรงงานต่าง ๆ ในภูมิภาคทั้งด้านการผลิตและการใช้วัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น (Regional Optimization)
การปรับกลยุทธ์เชิงรุกท่ามกลางความท้าทาย ทำให้ในไตรมาสที่ 3/68 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 4% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนจากผลการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น ขณะที่ลดลง 6% จากไตรมาสก่อนสอดคล้องกับรายได้ ส่วนEBITDA margin ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนพลังงานและสาธารณูปโภคในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 68)





