
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการลงนามร่วมกับผู้นำกัมพูชาโดยมีผู้นำมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้สังเกตการณ์ว่า ตนไปลงนามเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม และมั่นใจได้เลยว่าประเทศไทยจะไม่มีวันเสียดินแดน ไม่มีวันเสียอธิปไตย เพราะในปฏิญญาเขียนชัดเจน ไม่มีจุดไหนที่บอกว่าเรายอมแลกพื้นที่ตรงนั้นตรงนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใด ตนไปเพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และไปเพื่อให้เขาเห็นว่าอย่าได้คิดอย่ารุกรานประเทศไทย
นายอนุทิน ระบุว่า เรื่องปฏิญญา เป็นเรื่องการยุติ แต่เป็นประตูแรกที่จะนำไปสู่สันติภาพ ซึ่งยังไงก็ควรจะต้องมีสันติภาพในวันหนึ่ง เพราะเราอยู่ตรงกลาง เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ ขณะที่การค้าขายชายแดน ต้องหาทางแก้ปัญหาเพราะมูลค่าการค้าขายชายแดนไทยกัมพูชาถึง 170,000 ล้านบาทต่อปี ประเทศไทยขายให้กัมพูชา 140,000 ล้านบาท เราซื้อกัมพูชาแค่ 30,000 ล้านบาท เราเสียหายมากกว่า แต่หากว่าไปบอกว่าเราเสียหายมากกว่าแล้วจะยอมตรงนั้น ตนก็ไม่ยอม แต่เราฟังเสียงประชาชน เราจะต้องไม่เป็นเบี้ยล่างคู่กรณีหรือศัตรู
สำหรับการลงนามแรร์เอิร์ธ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะไปให้สัมปทานใคร แต่บอกว่ามีโอกาสที่ประเทศไทย จะมีแร่ธาตุหายาก ถ้าสามารถนำไปถลุงแปรสภาพก็อาจจะกลายไปเป็นวัสดุ ที่สร้างขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าได้ เรายังมีองค์ความรู้เรื่องนี้น้อยมาก ถ้ามีคนมาให้ความร่วมมือในการศึกษาให้ความรู้กับประเทศไทยเรา ประเทศไทยหมดเวลาไปนานแล้วว่าทำอะไรเองไม่ได้ ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการให้สัมปทานกับใคร หากแร่มีมูลค่าขึ้นมาจริงก็ต้องสร้างกฎระเบียบ มีกฎหมาย มี TOR เพื่อพัฒนาแร่เหล่านี้ และตนคือ Thailand First อยู่แล้วนโยบายพรรคภูมิใจไทยอะไรก็ได้ที่คนไทยมีส่วนร่วมคนไทยทำ ตนจะต้องหาแต้มต่อให้กับคนไทยมากที่สุด เรื่องแรเอิร์ธก็ไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวที่ลงนาม มีอยู่ประมาณ 8 ประเทศโดยรอบอาเซียน บางประเทศโดยถึงขั้นขายแล้ว แต่เราอยู่ในขั้นการเสนอตัวเข้ามาศึกษา ใครจะเอาช่องทางการตลาดมาให้ใครก็พร้อมพิจารณา ไม่มีอะไรแตกต่างจากการลงนามเรื่องอื่น ๆ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ย. 68)





