
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ผู้เขียนได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นผู้ร่วมอภิปรายในกิจกรรม Special Session: Building Human Capital for Thailand’s CCUS Future ซึ่งจัดขึ้นภายในการประชุมวิชาการ Nanothailand Conference 2025 จัดโดยเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรของประเทศในการเตรียมความพร้อมต่อเทคโนโลยีดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS)
ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรา 55 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด สำหรับควบคุมการระบายน้ำทิ้ง การปล่อยทิ้งอากาศเสีย ด้วยอำนาจนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรม (ประเภทที่รัฐต้องการควบคุมตามนโยบายรัฐ) ต้องควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น อาจกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่มีการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการประกอบกิจการโรงงานให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อให้โรงงานจำพวกใดจำพวกหนึ่งหรือทุกจำพวกตามมาตรา 7 ต้องปฏิบัติตาม (5) กำหนดมาตรฐานและวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงงาน รวมทั้งกฎกระทรวงและประกาศกระทรวง
สถานะทางกฎหมายที่เปิดทางสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 138 ทรัพย์สิน หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ และมาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับมาได้เป็นทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ปล่อยมลพิษซึ่งสามารถครอบครองและขายต่อได้
ในมิตินี้ กฎหมายนี้สามารถสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับถานะทางกฎหมายของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับได้ ความชัดเจนนี้ช่วยให้ผู้ที่ได้มาและครอบครองตัวก๊าซนั้นมีทรัพยสิทธิเหนือตัวก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับ ไม่ใช่ของเสีย ขยะหรือสิ่งปฏิกูล และกลายเป็นวัตถุแห่งการซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
สถานะความเป็นวัตถุอันตรายและการเก็บชั่วคราววัตถุอันตราย ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มาตรา 18 วัตถุอันตรายแบ่งออกตามความจำเป็นแก่การควบคุมดังนี้ (1) วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด (2) วัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดด้วย (3) วัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องได้รับใบอนุญาต (4) วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ได้แก่วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน หรือการมีไว้ในครอบครอง
รัฐสามารถสร้างความชัดเจนได้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับและครอบตลอดจนจะมีการขนส่งต่อไปนั้นมีสถานะเป็นวัตถุอันตรายหรือไม่ เพื่อสร้างความชัดเจนว่าการขนส่งนั้นจะตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือไม่ ข้อสำคัญคือ ผู้ออกกฎหมายจะต้องเข้าใจลักษณะทางเทคนิคของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับอย่างถ่องแท้ เป็นไปได้ที่ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับนั้นมีลักษณะความอันตรายที่แตกต่างไปจากความอันตรายของวัตถุอันตรายตามนิยามที่กำหนดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
การขนส่งก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับแล้วเป็นการประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่? ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 มาตรา 18 เพื่อให้การควบคุมการประกอบกิจการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อปกป้องประชาชนให้มีความปลอดภัย ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทกิจการควบคุมของการมีน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในครอบครอง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คลังน้ำมันเชื้อเพลิงและการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือทุกชนิดรวมกัน ให้สอดคล้องกับระดับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ (1) ประเภทที่ 1 ได้แก่กิจการที่สามารถประกอบการได้ทันทีตามความประสงค์ของผู้ประกอบกิจการ (2) ประเภทที่ 2 ได้แก่กิจการที่เมื่อจะประกอบการต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน (3) ประเภทที่ 3 ได้แก่กิจการที่ต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะประกอบการได้ (วรรคสอง) การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางน้ำให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย
หากสิ่งที่ถูกดักจับใดมีสถานะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกกำกับการประกอบกิจการขนส่งหรือเก็บชั่วคราวตามกฎหมายนี้ได้ ผู้เขียนกฎหมายจะเจอโจทย์ทางเทคนิคว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดับจับนั้น เป็น “น้ำมันเชื้อเพลิง” ตามกฎหมายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยามที่ว่า “สิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น หรือสิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา” หากก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับ (ในปริมาณและสถานะที่กฎหมายกำหนด) มีสถานะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว การประกอบกิจการขนส่งย่อมตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542
ผู้ดักจับและผู้ขนส่งอาจให้บริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับได้ ภายใต้กรอบนโยบาย “ประเทศไทย มุ่งสู่ Net Zero Emission ภายในปี ค.ศ.2065” บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ “ดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS)” ที่แหล่ง Arthit Gas Field ในอ่าวไทย ซึ่งนับเป็นโครงการ CCS เชิงพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นหมุดหมายสำคัญของการนำเทคโนโลยีการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกมาใช้จริงในภาคพลังงาน โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการเตรียมตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision: FID) โดยมีเป้าหมายสามารถดักจับและกักเก็บ คาร์บอนไดออกไซด์ ได้ราว หนึ่งล้านตันต่อปี ภายในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มฉีดกักเก็บ (injection) ได้ภายในปี พ.ศ. 2570
อย่างไรก็ตาม โจทย์ในทางนิติศาสตร์คือ ปตท. สผ. สามารถอาศัยสิทธิในการประกอบกิจการประกอบกิจการปิโตรเลียมในการอัดก๊าซเรือนกระจกลงในแหล่งผลิตได้หรือไม่? ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 4 “กิจการปิโตรเลียม” หมายความว่า การสำรวจ ผลิต เก็บรักษา ขนส่ง ขาย หรือจำหน่ายปิโตรเลียม โดย “ปิโตรเลียม” หมายความว่า น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติก๊าซธรรมชาติเหลวสารพลอยได้และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและอยู่ในสภาพอิสระ “สารพลอยได้” หมายความว่า ก๊าซฮีเลียม คาร์บอนไดออกไซด์ กำมะถัน และสารอื่นที่ได้จากการผลิตปิโตรเลียม
ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับที่ถูกขนส่งมาจากพื้นที่อื่น ย่อมมิใช่สารพลอยได้จากการผลิตปิโตรเลียม และส่งผลให้เกิดคำถามได้ว่า ปตท. สผ. จะอาศัยสิทธิประกอบกิจการปิโตรเลียมในการบริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้หรือไม่ หากมิใช่ส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการปิโตรเลียมแล้ว การใช้บริการชั้นหินซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้บริการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกย่อมอยู่นอกขอบเขตการบังคับของพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
โดยสรุป นักนิติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งขของ CCUS Workforce โดยไม่จำเป็นต้องเรียนวิชา CCUS Law มาโดยตรง ความเข้าใจที่ว่า “มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด” ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และ “มาตรฐานคุณภาพอากาศสะอาด” ตามพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชนนั้นสามารถ “ถูกบังคับใช้” เพื่อทำให้โรงงานอุตสาหกรรมบางประเทศเปลี่ยนพฤติกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ย่อมมีส่วนช่วยในการสร้างอุปสงค์ของบริการดักจับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ส่วนพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ก็สามารถถูกใช้เพื่อกำหนดมาตรฐานในการประกอบกิจการโรงงานที่รองรับการใช้งานระบบดักจับ
ในขณะที่ กฎหมายสามารถสร้างความชัดเจนได้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับและครอบตลอดจนจะมีการขนส่งต่อไปนั้นมีสถานะเป็นวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หรือ อีกทั้งยังสามารถสร้างความชัดเจนว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดักจับซึ่งมีสถานะเป็นทรัพย์สินนั้นจะกลายเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 ท้ายที่สุด นักนิติศาสตร์มีหน้าที่ต้องตอบให้ได้ว่าสิทธิในการอัดก๊าซเรือนกระจกลงแหล่งกักเก็บนั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายปัจจุบันหรือไม่ หากยังไม่มีสิทธินี้ก็จำเป็นที่รัฐจะต้องพัฒนากฎหมายเพื่อกำกับดูแลกิจกรรมการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกต่อไป
ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)
หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 พ.ย. 68)





