
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำหนุนในส่วนของกรุงเทพมหานครว่า สถานการณ์น้ำหนุนในช่วงเดือนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เนื่องจากได้ผ่านวันที่มีน้ำหนุนสูงสุดคือ 8 พ.ย. 68 ไปแล้ว ซึ่งจะมีน้ำหนุนขึ้นสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 20 ธ.ค. 68 แต่ไม่สูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือที่น่าจะบรรเทาลง ประกอบกับถ้าไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาสถานการณ์ก็จะคลี่คลายขึ้น รวมถึงที่ผ่านมา กทม. มีการปรับปรุงโครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีปัญหาในปี 54 ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จึงทำให้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงไม่น่าเกิดขึ้นแบบปี 54
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงคือชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ 11 ชุมชน ประมาณ 300 หลังคาเรือน โดย กทม. เข้าไปดำเนินการสร้างสะพานไม้และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แล้ว ส่วนเรื่องแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมล้ม ซึ่งเกิดจากปัญหาเรือแล่นเร็วทำให้เกิดคลื่นสูงมากระแทกแนวกระสอบทรายล้ม ได้ประสานงานกับกรมเจ้าท่า จัดเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดสำคัญ เพื่อคอยปรามผู้ที่ขับเรือเร็วทำให้เกิดคลื่นสูง นอกจากนี้ ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนต่างจังหวัดที่ไม่มีแนวคันกั้นน้ำ ทำให้ต้องได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือที่ปล่อยจากเขื่อน อาจทำให้น้ำเข้าไปท่วมในทุ่งหรือบ้านเรือน
ด้าน นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า กทม. สร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาไล่ระดับความสูงมาจากทางเหนือ เช่น พื้นที่ติดนนทบุรีจะมีเขื่อนกั้นน้ำสูงกว่า 3.5 เมตร ขณะนี้ที่เราอยู่กันที่สะพานพุทธฯ ปากคลองตลาด จะเห็นว่ามีแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาสูงประมาณ 3 เมตร ซึ่งน้ำเหมือนจะปริ่มล้นแนวเขื่อนกั้นน้ำ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับเขื่อนกั้นน้ำอีกมากกว่า 80 ซม. ซึ่งกทม. เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนอุ่นใจไม่ต้องกังวล

สำหรับที่ประชาชนเห็นภาพน้ำล้นเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยาจากสื่อโซเชียลต่าง ๆ เกิดจาก 3 สาเหตุ คือ
1. พื้นที่ฟันหลอของเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมามีพื้นที่ฟันหลอ 32 จุด ประมาณ 4 กม. ซึ่งกทม. ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 22 จุด ประมาณ 2.6 กม. จึงเหลือพื้นที่ฟันหลออีกแค่ 10 จุดเท่านั้นที่เป็นพื้นที่เอกชน กทม. ต้องขออนุญาตก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำจึงจะสามารถดำเนินการได้
2. ยังมีช่องเปิดต่าง ๆ เช่น บริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นที่สัญจรของประชาชนไม่สามารถสร้างเขื่อนกั้นน้ำปิดเส้นทางได้ กทม. จึงต้องใช้กระสอบทรายในการวางแนวกั้นน้ำแก้ไขปัญหา หากน้ำรั่วซึมเข้าไปก็สูบน้ำออกมา ซึ่งผู้ว่าฯ กทม. ได้กำชับให้ตรวจสอบแนวกระสอบทรายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้มีการรั่วซึม
3. พื้นที่แนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการรั่วซึม ซึ่งจากปี 65 พบประมาณ 120 จุด กทม. ได้ดำเนินการแก้ไขแล้วจนเหลือ 76 จุด ประมาณ 8 กม. ทำให้เกิดการรั่วซึมเป็นภาพน้ำท่วมที่เห็นกัน หากประชาชนพบปัญหาน้ำท่วม ท่อตัน ฝาท่อชำรุด น้ำเน่าเสีย สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร โทร. 02 248 5115 หรือ สายด่วน กทม. โทร.1555 หรือ แจ้งได้ที่ Traffy Fondue
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ปัจจุบันประเทศไทยมีฝนลดลง เนื่องจากลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลางตอนล่างมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้าบางพื้นที่ และทำให้ปริมาณฝนในกรุงเทพมหานครลดลง และมวลอากาศเย็นจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วง วันที่ 14-15 พ.ย. นี้เป็นต้นไป ทำให้ฝนไปตกบริเวณภาคใต้ ประกอบกับพายุโซนร้อนกำลังแรง “ฟงวอง”(FUNG-WONG) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือ เข้าใกล้บริเวณเกาะไต้หวัน ในช่วงวันที่ 12-13 พ.ย. 68 โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย

จากข้อมูลของสำนักการระบายน้ำ ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-10 พ.ย. 68 อยู่ที่ 1,750.5 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียง 6.6% ประกอบกับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ระบุว่า เดือนพ.ย. น้ำทะเลหนุนสูงสุดที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ (เขตบางกอกน้อย) ในวันที่ 9 พ.ย. 68 ฐานน้ำทะเล ระดับ +1.36 ม.รทก. ระดับน้ำคาดหมาย +2.11 ม.รทก. ซึ่งกรุงเทพมหานคร ตรวจวัดระดับน้ำจุดวัดปากคลองตลาด มีระดับ +2.25 ม.รทก. ซึ่งต่ำกว่าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกว่า 75 เซนติเมตร ต่อจากนี้ระดับน้ำทะเลหนุนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กรมชลประทาน รายงานว่า ปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งอยู่ในระดับที่แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถรับได้อย่างปลอดภัย บริเวณจุดวัดสามโคก จังหวัดปทุมธานี พบว่า มีอัตราการไหลเฉลี่ย 2,400-2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากศักยภาพการรับน้ำสูงสุดที่ 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำยังต่ำกว่าความจุสูงสุดมาก และไม่มีแนวโน้มที่น้ำเหนือจะท่วมเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการไม่ประมาทขอให้ประชาชนเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด วานนี้ (11 พ.ย. 68) ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จุดวัดปากคลองตลาด ระดับ +2.12 ม.รทก. ยังต่ำกว่าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกว่า 88 เซนติเมตร
มาตรการรับมือและการบริหารจัดการ
กทม. ได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำทุกด้าน โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิ
- ลดระดับน้ำในคลองกว่า 1,980 คลอง และแก้มลิง 33 แห่ง ให้พร้อมรับน้ำฝน
- ตรวจสอบความมั่นคงของแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร
- เฝ้าระวังจุดเสี่ยง แนวฟันหลอ 32 จุด (ซ่อมแล้วเสร็จ 22 จุด ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและของบประมาณเพิ่มเติม)
- แก้ไขแนวรั่วซึมและช่องเปิดท่าเรือ เช่น ท่าราชวรดิษฐ์ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และแนวถนนพระราม 3 ซึ่งได้ดำเนินการอุดรอยรั่วและเสริมแนวกระสอบทรายเพิ่มเติมแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ประจำสถานีสูบน้ำ 200 แห่ง และบ่อสูบน้ำ 349 แห่ง รวมถึงเครื่องสูบน้ำกว่า 1,581 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำในจุดเสี่ยง พร้อมเครือข่ายโทรมาตรตรวจวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ และเรดาร์ตรวจอากาศ 2 แห่ง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

การดูแลชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ
สำหรับพื้นที่ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ปัจจุบันมีจำนวน 11 ชุมชน 320 หลังคาเรือน ครอบคลุม 6 เขต ได้แก่ ดุสิต พระนคร บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และคลองสาน ซึ่งกทม. ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดจุดอพยพชั่วคราว เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ และแนวทางช่วยเหลือเบื้องต้นในกรณีที่น้ำเอ่อล้นเข้าพื้นที่ พร้อมประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน รวมทั้งจัดโครงการฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)





