BCPG เป้าปี 71 ดัน EBITDA 7 พันลบ. ทุ่มงบ 2.2 หมื่นลบ.ใน 3 ปีกระจายลงทุนในไทย-ไต้หวัน

นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี [BCPG] เปิดเผยว่า แผนการกลยุทธ์ “The Next Decade: Broadening Horizons of Sustainability” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว โดยตั้งเป้า EBITDA แตะระดับ 7,000 ล้านบาท ในปี 71 จากปี 68 ที่คาด EBITDA อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทในดัชนี SET50 รวมถึงการได้รับการจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ภายในปี 2571

พร้อมทั้งวางงบลงทุน 3 ปี (ปี 69-71) ราว 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนปี 69 ราว 7,000 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 3,500 ล้านบาทใช้ลงทุนเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าในไต้หวัน ส่วนที่เหลือลงทุนพัฒนาโครงการเดิมที่มีอยู่แล้วให้แล้วเสร็จตามแผน และปี 70-71 ตั้งงบลงทุนไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ อาทิ Data Center และ ธุรกิจรีไซเคิล

โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโต EBITDA มาจาก 2 ส่วน ได้แก่การเติบโตของธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในพอร์ตฟอลิโอ และมีโอกาสการเติบโตจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐที่สูงขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี AI รวมทั้งธุรกิจใหม่ที่จะมีการลงทุนเพิ่มเติม

นายรวี กล่าวว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา บีซีพีจีได้สร้างรากฐานที่มั่นคงในธุรกิจพลังงานสะอาด สะท้อนผ่านพอร์ตการลงทุนที่กระจายตัวทั้งด้านเทคโนโลยีและภูมิภาค ปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ครอบคลุมประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา รวมกำลังการผลิต กว่า 2,000 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางตลาด

โครงการสำคัญ ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ ที่ดำเนินการในตลาด PJM ได้รับค่าความพร้อมจ่ายในระดับสูงต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาวที่จำหน่ายไฟฟ้าให้เวียดนามซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง รวมถึงโครงการพลังงานลมมอนซูนขนาด 600 เมกะวัตต์ ใน สปป. ลาว ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าเวียดนาม ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปลายไตรมาสที่ผ่านมาต่างเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนผ่านโครงการพลังงานลมในเวียดนาม 2 โครงการรวมกำลังการผลิต 99 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) ในประเทศไทย ซึ่งภายในปีนี้จะมีกำลังผลิตรวม 43.6 เมกะวัตต์ เติบโตกว่าเท่าตัว และมีเป้าหมายขยายไปถึง 100 เมกะวัตต์ ตลอดจนขยายการพัฒนาโรงไฟฟ้าในไต้หวัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างสถานีและสายส่งขนาด 200 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าในโครงการแล้ว ซึ่งโครงการเหล่านี้จะสามารถสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงเมื่อเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ สนับสนุนรายได้ระยะยาวและกระจายความเสี่ยงในการดำเนินการ

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 บริษัทฯ มีกำไรก่อนรายการพิเศษ 711.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 626.0 ล้านบาท จากขาดทุน 28.8 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งกำไรก่อนรายการพิเศษดังกล่าวถือเป็น “จุดสูงสุดใหม่” ของบริษัทฯ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ และศักยภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์พลังงานในหลายประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านรายได้และผลกำไร ประกอบกับพอร์ตสินทรัพย์ที่ขยายสู่ระดับภูมิภาค และฐานรายได้ที่มีความมั่นคงจากสัญญาระยะยาว ทำให้บีซีพีจีมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับการยกระดับสู่บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET50 ได้อย่างยั่งยืน โดยมีทั้งอัตราการเติบโตของ EBITDA ที่ชัดเจน กระแสเงินสดสม่ำเสมอ และโครงสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพในการต่อยอดสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพและมูลค่าตลาดของบริษัทฯ ในระยะยาว” นายรวีกล่าวเพิ่มเติม

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์ บริษัทฯ มุ่งเน้นลงทุนใน 3 ธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีเศรษฐกิจข้อมูล (Data Economy) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าสีเขียว การรุกเข้าสู่ธุรกิจนี้ ช่วยต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดของบีซีพีจี และส่งเสริมให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าสูง เพิ่มโอกาสการเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ฐานรายได้ของบริษัทฯ ในระยะยาว พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลระดับภูมิภาค (Regional Data Hub) ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อาทิ ระบบบริหารจัดการน้ำและน้ำเย็น เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของ Data Center ที่ต้องการระบบน้ำเพื่อความเย็นอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ และธุรกิจรีไซเคิล อาทิ ธุรกิจรีไซเคิล แผงโซลาร์ (Solar Waste Management) ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งบีซีพีจี มีแผนริเริ่มศึกษาความเป็นไปได้จากการบริหารจัดการแผงโซลาร์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทฯ และประเทศ ฯลฯ

การต่อยอดสู่การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางธุรกิจและคุณค่าทางสังคม โดยบริษัทฯ ได้ยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ไม่เพียงเป้าหมายที่ 7: สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน (Affordable and Clean Energy) แต่ยังมุ่งสู่เป้าหมายที่ 6: สร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้สำหรับทุกคน (Clean Water and Sanitation) เป้าหมายที่ 9: สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม (Industry, Innovation and Infrastructure) และเป้าหมายที่ 12: สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Responsible Consumption and Production) เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตที่ครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

“นับจากนี้ บีซีพีจีจะไม่หยุดอยู่แค่การผลิตพลังงานสะอาด แต่จะก้าวสู่บทใหม่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ และส่งต่อความยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป” นายรวีกล่าวทิ้งท้าย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)