
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) วานนี้ (18 พ.ย.) ครั้งที่ 1/2568 โดยที่ประชุม นบข. ได้รับทราบรายงานสถานการณ์ข้าวโลก ที่ผลผลิตข้าวโลก ปี 2568/69 เมื่อรวมกับสต็อกข้าวต้นปี (สต็อกปลายปี 2567/68) จะมีปริมาณผลผลิต (Supply) รวมเท่ากับ 729.45 ล้านตันข้าวสาร ส่วนความต้องการบริโภคและการค้า (Demand) รวมปริมาณ 604.25 ล้านตันข้าวสาร ทำให้เกิดอุปทานส่วนเกิน 125.20 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเป็นแรงกดดันราคาข้าวในตลาดโลก
ขณะที่สถานการณ์ข้าวไทย ปริมาณผลผลิตรวม ปี 2568/69 คาดว่ารวมจะอยู่ที่ 27.31 ล้านตันข้าวสาร และความต้องการใช้ข้าวไทย (บริโภคภายในประเทศ ส่งออก สำรองเป็นสต็อก และเมล็ดพันธุ์) รวม 23.5 ล้านตันข้าวสาร
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในปีนี้ สถานการณ์ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูง ซึ่งการที่จีนมีความประสงค์จะซื้อข้าวจากไทย 5 แสนตัน นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวไทย นอกจากนี้ ไทยยังตกลงขายข้าว และอาหารล่วงหน้าให้แก่สิงคโปร์ 100,000 ตัน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ และทุกฝ่ายที่ได้เตรียมการ รวมถึงการเจรจาทุกระดับอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่ผลสำเร็จนี้ โดยถือเป็นการเปิดตลาด เปิด momentum และขอให้เดินหน้าปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดีที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติทบทวนแนวทางการดำเนิน “โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69” ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าฝากเก็บในยุ้งฉางเป็นระยะเวลา 1-5 เดือน ตั้งเป้าปริมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยทบทวนราคาสินเชื่อข้าวเจ้า ข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียว ให้สอดคล้องกับราคาตลาดปัจจุบัน โดยเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเอง จะได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน
ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการจัดทำมาตรการภายใต้กรอบแนวคิด “ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต” (New Rice Economy) โดยมาตรการระยะสั้น เน้นการบริหารจัดการข้าวขาวที่มีส่วนเกิน ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท เพื่อดูดซับผลผลิตในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด และมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง จำหน่ายเพื่อเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบเดินหน้ามาตรการระยะยาว เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต โดยเฉพาะการศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1 ล้านไร่ โดยที่ประชุมมอบหมายให้มีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ

รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพ โดยปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพสูง หรือข้าวประณีต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความโดดเด่นของข้าวไทยมากยิ่งขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ โดยกำหนดเป้าหมายเป็นกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม วงเงินจ่ายขาด 120 ล้านบาท และการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ซึ่งในพื้นที่ภาคกลาง ยังขาดข้าวคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย เพื่อนำมาปลูกทดแทนข้าวพื้นแข็ง โดยมอบหมายให้กรมการข้าว ไปศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต (2) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด (3) คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก (4) คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด โดยมอบหมายกรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ นบข. เสนอคำสั่งฯ ประธานกรรมการ นบข. ลงนามต่อไป

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในด้านรายได้ชาวนา คุณภาพการผลิต และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นโยบายและมาตรการที่ดำเนินการ จะต้องเป็นรากฐานให้กับอนาคตที่มั่นคงของวงการข้าวไทย โดยได้ขอให้ที่ประชุม นบข.พิจารณานโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ทำให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคง โดยยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ
1) บริหารจัดการราคาข้าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมยกระดับรายได้ และลดต้นทุนให้ชาวนาอย่างยั่งยืน
2) เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และโลจิสติกส์
3) สร้างเสถียรภาพตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศ และตลาดต่างประเทศ ควบคู่กันไป
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วน จะช่วยกันขับเคลื่อนอนาคตข้าวไทย และสร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกรได้อย่างแท้จริง
“ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องวางนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ควบคู่กับการรักษามาตรฐานของสินค้าข้าวไทยอย่างจริงจัง โดยขอให้ร่วมกันหาแนวทาง และมาตรการข้าวที่ยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้ข้าวไทยเป็นข้าวคุณภาพ มีผลผลิตต่อไร่สูง ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ได้รับความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)





