
แหล่งข่าวจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (19 พ.ย.) ว่า จีนได้แจ้งต่อญี่ปุ่นว่าจะระงับการนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น ท่ามกลางความขัดแย้งทางการทูตระหว่างสองชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ กล่าวต่อรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ว่า สถานการณ์ฉุกเฉินในไต้หวันอาจก่อให้เกิด “สถานการณ์คุกคามการอยู่รอด” ของญี่ปุ่น และทำให้ญี่ปุ่นสามารถใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนส.ค. 2566 จีนได้สั่งแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อคัดค้านญี่ปุ่นที่ปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก จนกระทั่งเดือนมิ.ย. 2568 ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจีนจะกลับมานำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยญี่ปุ่นเพิ่งกลับมาส่งออกอาหารทะเลไปยังจีนเป็นครั้งแรกเมื่อต้นเดือนพ.ย.
การตัดสินใจของจีนสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา และนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม คำพูดของนายกฯ ญี่ปุ่นได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ทั้งนี้ จีนและไต้หวันปกครองแยกจากกันนับตั้งแต่สงครามกลางเมืองเมื่อปี 2492 อย่างไรก็ตาม จีนมองว่าไต้หวันเป็นมณฑลที่แยกตัวออกไป และต้องถูกรวมเข้ากับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งหากจำเป็นก็จะต้องใช้กำลัง นอกจากนี้ จีนยังมองว่าประเด็นเกี่ยวกับไต้หวันเป็นกิจการภายในของจีน และไม่ยอมให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)





