
บมจ.ปตท. [PTT] เดินหน้าฝ่าความท้าทายจากปัจจัยภายนอกในปี 69 ทั้งราคาน้ำมัน-ปิโตรเคมี ด้วยกลยุทธ์การบริหารจัดการภายในที่เข้มข้น ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ (EBITDA Uplift) การบริหารสินทรัพย์ (Asset Monetization) และการปรับโครงสร้างธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Smart Exit ใน EV, Life Science) เพื่อสร้างกระแสเงินสดและกำไรที่สวนทางในช่วงสั้น พร้อมวางรากฐานการเติบโตในระยะยาวด้วยธุรกิจ LNG และโครงสร้างพื้นฐาน (PTT Tank) โดยยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 69 ยังมีความท้าทาย โดยแนวโน้มราคาน้ำมันคาดว่าจะยังทรงตัวในระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปัจจัยอุปทานที่มีปริมาณมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ดีมานด์ยังทรงตัว เช่นเดียวกับธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดว่ายังทรงตัว
แผนการดำเนินงานในปี 69 ยังมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน เดินหน้ายกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) ต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่ม ปตท. ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีกระแสเงินสดเพียงพอ โดยกลยุทธ์ Asset Monetization งวด 9 เดือนปี 68 ได้เพิ่มกระแสเงินสดจากการการปรับโครงสร้างธุรกิจ EV และ Power 1.5 หมื่นล้านบาท โดยในปี 69 ตั้งเป้าหมายสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต
ด้านการลงทุนผลิตรถ EV ในไทยที่มีการร่วมทุนกับฟ็อกซ์คอน (Foxconn) ก่อนหน้านี้ ปตท. ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง จาก 60% เป็น 40% กระบวนการถัดไปอยู่ระหว่างการเจรจากับ Foxconn ว่าจะรับหุ้นไปทั้งหมดหรือไม่ เพราะเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีนี้อาจยังไม่สามารถสร้างโรงงานได้ อย่างไรก็ตาม Foxconn มองประเทศไทยเป็นฐานสำคัญในการผลิตรถยนต์ EV ขณะที่บริษัทร่วมทุน NV Gotion ซึ่งเป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่ ปัจจุบันโรงงานสร้างเสร็จแล้ว และเริ่มประกอบแบบให้กับลูกค้า ซึ่งจะมีการเจรจากับ NV Gotion ปรับโครงสร้างเพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และสามารถดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว
โดยในปี 69 กลุ่ม ปตท. ยังระมัดระวังในการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยเน้นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงและรวดเร็ว ซึ่งยังยืดมั่นการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงให้กับผู้ถือหุ้น ขณะที่กลยุทธ์ Genesis หรือการหาพาร์ทเนอร์ให้กับกลุ่มบริษัทปิโตรเคมีและโรงกลั่น อยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรทางกลยุทธ์ ตั้งเป้าธุรกรรมแล้วเสร็จภายในปี 69 ซึ่ง ปตท. ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท Flagship
ล่าสุด กลุ่ม ปตท. ได้สร้าง Synergy ในกลุ่มบริษัท จากการปรับโครงสร้างของกลุ่มบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship ด้านพลังงานของกลุ่ม โดยมีสินทรัพย์ทั้งหมดราว 4.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสินทรัพย์ที่เป็นถังเก็บผลิตภัณฑ์ ท่าเรือ ท่อ ราว 3.8 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้อง
นายคงกระพัน กล่าวว่า PTT Tank ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศไม่น้อยกว่า 10 แห่งที่แสดงความสนใจร่วมลงทุน นอกจากนี้สถาบันการเงินก็พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อนำมาลงทุนใน PTT Tank โดยในอนาคตจะพิจารณาโอกาสที่จะนำสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มในพอร์ตอีก เพื่อใช้เป็น Infrastructure Flagship สำหรับกลุ่มต่อไป
และในภาวะที่มีความท้าทาย ปตท. มองเห็นโอกาสในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เนื่องจากในอนาคตมองว่า LNG จะมีบทบาทในตลาดโลกมาก โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีปริมาณ LNG ในพอร์ตการลงทุนถึง 10 ล้านตันภายในปี 73 และ 15 ล้านตันใน 78 ซึ่งต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มซัพพลาย รวมทั้งลงทุนในตลาดที่มีดีมานด์ ทั้งนี้ภาพรวมแหล่ง LNG ในโลก ได้แก่ พื้นที่ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดที่มีการบริโภค อาทิ พื้นที่เอเชียเหนือ เกาหลี ญี่ปุ่น โดยงวด 9 เดือนปี 68 ปตท.ทำการค้าและการลงทุนใน LNG 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาวประมาณ 1.6 ล้านตันเริ่มมีผลปี 70
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/68 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 1.97 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.46 พันล้านบาท หรือ 21.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักเป็นผลจากการทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บมจ.ไทยออยล์ [TOP] และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนปี 68 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6.46 หมื่ล้านบาท ลดลง 1.61 หมื่นล้านบาท หรือ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplift, Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่ายและการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในทุกมิติ สร้าง Profit Enhancement รวมกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.90 บาท/หุ้น
ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย นั่นหมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปตท. จึงมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความถนัด ภายใต้กลยุทธ์เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ปตท. สามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกา อีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่ 2 ขณะที่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สามารถทำการค้าและการลงทุน LNG ใน 9 เดือนแรก ปี 68 ได้กว่า 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาว 1.6 ล้านตัน ในขณะที่การปรับพอร์ตกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ระหว่างการหารือกับ potential strategic partners ซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผน
สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ตการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ขายหุ้นบริษัท Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืน ปตท. ในส่วนของ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self – Funding)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ย. 68)





