
นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันทร์แรงงานไทย (สสรท.) ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนของภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ต่อร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และเรียกร้องให้วุฒิสภา เร่งพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “ฤดูกาลฝุ่นพิษ” อีกครั้ง ประชาชนคนไทยกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ที่บั่นทอนสุขภาพ ทำลายเศรษฐกิจ และพรากสิทธิพื้นฐานในการมีอากาศที่สะอาดในการหายใจไปจากพวกเรา
ในขณะที่ประชาชนกำลังเตรียมรับมือกับภัยสุขภาพ ที่มาตามฤดูกาลนี้ “ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …” หรือ “ร่างกฎหมายอากาศสะอาด” ฉบับที่ควบรวมร่างของภาคประชาชน คณะรัฐมนตรี และพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ กลับกำลังเผชิญกับการ “ประวิงเวลา” ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา
ขณะนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ของวุฒิสภา ในวาระที่ 2 โดยมีความพยายามจากภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางกลุ่ม และสมาชิกวุฒิสภาบางท่าน ที่พยายามชะลออ้างเหตุผลความซ้ำซ้อน และเพิ่มการแทรกแซงของกลุ่มธุรกิจในร่างกฎหมายอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือแม้กระทั่งการตัดทอนกลไกสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ โดยคำนึงถึง “ผลประโยชน์ทางรายได้” และ “ต้นทุนทางธุรกิจ” ที่มากกว่าการคำนึงถึง “สิทธิในชีวิต และสุขภาพ” ของประชาชน รวมถึงไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อคุณภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกมาแถลงข่าวและการให้ข้อมูลของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 68 ที่ได้สร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อสังคม ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ซึ่งมีส่วนร่วมในการเสนอและร่างกฎหมายอากาศสะอาดดังกล่าว จึงขอแถลงการณ์เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลที่ถูกต้องต่อสังคม ดังต่อไปนี้
1. ตามที่ กกร. เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … มีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิมที่มีอยู่ เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 เป็นต้น
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอให้ข้อมูลว่า ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับนี้ไม่ได้ซ้ำซ้อน แต่เป็นการอุดช่องโหว่และบูรณาการกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันที่มีลักษณะกระจัดกระจาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต่างดำเนินงานแบบแยกส่วน ต่างฝ่ายต่างทำภายใต้กฎหมายของตน ทำให้ขาดการบูรณาการ และไม่สามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็น “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังไม่เพียงพอและไม่ทันสมัยต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่มีลักษณะเฉพาะ
ดังนั้น เรื่องใดที่ยังใช้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ไม่ขัดกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็ให้ใช้กฎหมายนั้นเช่นเดิม ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงไม่ได้ถูกร่างขึ้นมาเพื่อทดแทนกฎหมายเดิมทั้งหมด แต่ทำหน้าที่เป็นกฎหมายเฉพาะด้านอากาศสะอาดที่เข้ามาเป็นส่วนเสริม และบูรณาการการทำงานของกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเพื่ออากาศสะอาดเป็นไปอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ
2. โครงสร้างของคณะกรรมการและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน โดย กกร. เสนอให้มีผู้แทนของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการและองค์กรที่กำกับนโยบายบริหารจัดการอากาศสะอาด ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอให้ข้อมูลว่า หากพิจารณาบทบัญญัติของร่างกฎหมายส่วนที่กำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาด และคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด พบว่าได้กำหนดให้มีองค์ประกอบของเครือข่าย หรือองค์กรร่วมของภาคธุรกิจเอกชน เป็นองค์ประกอบบังคับอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ดังนั้น หลักการที่ว่าภาคเอกชนจะต้องมีส่วนร่วมในการกำกับนโยบาย จึงเป็นสิ่งที่ร่างกฎหมายนี้ได้บัญญัติรับรองไว้ครบถ้วนแล้ว ข้อกังวลว่าจะขาดการมีส่วนร่วมของตัวแทนภาคเอกชน จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น
ส่วนประเด็นที่มิได้ระบุชื่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น สภาหอการค้าฯ หรือ สภาอุตสาหกรรมฯ นั้น เป็นไปโดยเจตนาที่จะเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจเอกชนที่หลากหลาย ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ตลอดจนธุรกิจในภาคส่วนอื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ โดยไม่เป็นการผูกขาดการเป็นผู้แทนไว้เพียงองค์กรหลักที่ กกร. เสนอมาเท่านั้น
3. กกร. เห็นว่า เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ อาจทับซ้อนกับกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ส่งผลต่อต้นทุนทุกภาคส่วน จึงควรมุ่งเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษี หรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ลดมลพิษ แทนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาด ตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ทันที
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอให้ข้อมูลว่า ข้อกังวลที่ว่าร่างกฎหมายนี้ จะสร้างภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการในทันทีนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในร่างกฎหมายฉบับนี้ มิได้มีเพียงมาตรการที่ของการเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดแต่เพียงด้านเดียว ในทางกลับกัน ร่างกฎหมายได้บัญญัติถึงมาตรการสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือผู้ประกอบการ ไว้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการให้เงินอุดหนุนการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และการช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ลดการก่อมลพิษทางอากาศสะอาดได้
โดยหลักการของเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในร่างกฎหมายนี้ จึงมิใช่การมุ่งเป้าเพื่อลงโทษ หรือสร้างต้นทุน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ยุติธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน พฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่ดีต่อคุณภาพอากาศ และสร้างความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมที่ยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ย่อมจะได้รับประโยชน์จากมาตรการทางเศรษฐศาสตร์อย่างเต็มที่
สำหรับข้อกังวลเรื่องการบังคับใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ในทันที หรือการเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อยนั้น ขอชี้แจงว่า การกำหนดรายละเอียดอัตรา ระยะเวลา และขั้นตอนการบังคับใช้ ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ที่จะออกกฎหมายลำดับรองมารองรับ ซึ่งโดยหลักการปฏิบัติ ย่อมต้องคำนึงถึงความพร้อมและให้เวลาภาคธุรกิจในการปรับตัวอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม โดยไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
4. กกร. มองว่า การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด ยังไม่มีลำดับความสำคัญ หรือสัดส่วนการใช้เงินอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหามลพิษ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอให้ข้อมูลว่า ความเห็นดังกล่าว สะท้อนถึงความคลาดเคลื่อนในการทำความเข้าใจระหว่าง “เนื้อหาของกฎหมาย” และ “การบังคับใช้กฎหมาย” โดยการกำหนดรายละเอียดทางปฏิบัติ เช่น สัดส่วนการจัดสรรเงิน หรือลำดับความสำคัญของการใช้เงินเรื่องใดในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของ “ฝ่ายบริหาร” ที่จะดำเนินการผ่านคณะกรรมการที่ทำหน้าที่บริหารกองทุน หรือการออกกฎหมายลำดับรอง โดยร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … มีหน้าที่วางกรอบหลักการ วัตถุประสงค์และที่มาของเงินกองทุนและกรอบการใช้จ่ายเงินเท่านั้น เพื่อให้กฎหมายเกิดความยืดหยุ่น และฝ่ายบริหารสามารถปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
ส่วนกรณีการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาดไม่ได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนนั้น ภาคีเครือข่ายขอให้ข้อมูลว่า กฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน ใช้กับกรณีหน่วยงานของรัฐที่ขอจัดตั้งกองทุนเท่านั้น ส่วนการตราร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด เป็นการดำเนินการจัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะ ซึ่งอยู่ในกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบกับร่างกฎหมายอากาศสะอาดที่เสนอโดยภาคประชาชน (ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ร่างกฎหมายที่ผ่านการรับหลักการตั้งแต่ชั้นสภาผู้แทนราษฎร) ก็มีการเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนอากาศไว้ด้วย
นอกจากนี้ ด้วยกระบวนการทางนิติบัญญัติ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งกองทุน หรือมีผลผูกพันงบประมาณ จะต้องได้รับคำรับรองจากนายกรัฐมนตรี ก่อนยื่นเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ข้อเท็จจริงคือ ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับภาคประชาชน ได้ผ่านคำรับรองจากนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะถูกยื่นเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอย่างถูกต้องตามขั้นตอน
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่ให้คำรับรอง นายกรัฐมนตรียังดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คลัง ซึ่งมีอำนาจโดยตรงตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน การที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.คลัง ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ย่อมถือว่าได้ผ่านการกลั่นกรองตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลทุนหมุนเวียนแล้ว
5. อัตราโทษและบทกำหนดโทษ ที่มีการกำหนดอัตราโทษสูงกว่าฉบับอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ขอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอให้ข้อมูลว่า กระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ได้คำนึงถึงหลักความได้สัดส่วน และคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้านตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 โดยเฉพาะการประเมินถึงความได้สัดส่วนของบทลงโทษ ที่ต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับความร้ายแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5 ที่ได้สร้างต้นทุนทางสังคม และเศรษฐศาสตร์มหาศาล ทั้งในมิติด้านสาธารณสุข (ค่ารักษาพยาบาล การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร) มิติด้านเศรษฐกิจ (การท่องเที่ยว การชะงักงันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ) และมิติด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งกฎหมายสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญ
นายสาวิทย์ กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องเน้นย้ำ ซึ่งกกร. อาจยังไม่ได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ คือ ร่างกฎหมายนี้มิได้มีเพียง “ไม้แข็ง” หรือบทลงโทษแต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้ออกแบบกลไก “มาตรการจูงใจ” ไว้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้วในประเด็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น หากผู้ประกอบการมีพฤติกรรมที่ดี ดำเนินการตามมาตรฐาน และให้ความร่วมมือในการลดมลพิษทางอากาศ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากบทกำหนดโทษเหล่านี้เลย ในทางกลับกัน ยังจะได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนของรัฐด้วย อัตราโทษที่สูงจึงมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และยังคงสร้างผลกระทบต่อส่วนรวมเท่านั้น
สำหรับข้อเสนอให้มีระยะเวลาปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมนั้น ประเด็นดังกล่าวถือเป็นรายละเอียดในชั้นการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารที่จะต้องกำหนดขั้นตอน และระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม เพื่อให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถปรับตัวได้โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างฉับพลัน
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ยังเห็นว่า การแสดงออกของ กกร. ดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นการละเลยต่อความทุกข์ร้อนของประชาชน ในทางกลับกัน ยังเป็นท่าทีที่ “สวนกระแสโลก” จนอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจระดับมหภาค และเศรษฐกิจระหว่างประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะในสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศปัจจุบัน มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นใบอนุญาตทางการค้าที่สำคัญ
นายสาวิทย์ กล่าวว่า ภาคธุรกิจที่อ้างว่ากฎหมายอากาศสะอาดจะสร้างภาระต้นทุน กำลังมองข้ามความเป็นจริงที่ว่า หากภาคการผลิตของไทยไม่ปรับตัวเพื่อยุติการเผา หรือส่งเสริมการผลิตเพื่ออากาศสะอาดในห่วงโซ่อุปทาน ประเทศไทยอาจจะถูกกีดกันทางการค้า และภาคธุรกิจนั่นเองที่จะได้รับผลกระทบ หรือแม้กระทั่งประเทศไทยเอง ก็กำลังจะประกาศใช้มาตรการ “ห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ที่มาจากพื้นที่ที่มีการเผา เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดน นี่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเองก็ยังต้องใช้เครื่องมือทางการค้า เพื่อบีบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้น การที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจไทย จะยังคงคัดค้านร่างกฎหมายเพื่ออากาศสะอาด หรือต้องการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตน โดยอ้างเรื่องต้นทุน จึงเท่ากับเป็นการปฏิเสธที่จะปรับตัวตามกติกาโลกใหม่ และกำลังทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยไม่เข้าใจว่าการมีกฎหมายอากาศสะอาดที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ “การลงทุนระยะยาว” เพื่อยกระดับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
อนึ่ง การที่ภาคธุรกิจอ้างถึง “ภาระต้นทุน” นั้น ถือเป็นการมองข้าม “ต้นทุนแฝง” ที่ธุรกิจต้องแบกรับจากมลพิษทางอากาศโดยตรง กฎหมายอากาศสะอาดจึงไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ “การคุ้มครอง” ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ นั่นคือ “แรงงาน”
ทั้งนี้ ในความเป็นจริง ธุรกิจที่ดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่อากาศสะอาด ย่อมได้เปรียบจากการที่พนักงานมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศ ซึ่งหมายถึงการรักษาอัตรากำลังการผลิตไว้ได้อย่างต่อเนื่อง การลดอัตราการลาป่วยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน และที่สำคัญ คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ และสวัสดิการของพนักงานในระยะยาว การลงทุนเพื่ออากาศสะอาด จึงคือการลงทุนเพื่อ “ความมั่นคง” และ “ประสิทธิภาพ” ในการดำเนินงานของธุรกิจโดยตรง
นายสาวิทย์ กล่าวว่า เวลานี้ สถานะของร่างกฎหมายฉบับนี้กำลัง “แขวนอยู่บนเส้นด้าย” หากการพิจารณาของวุฒิสภาถูกยืดเยื้อต่อไปจนเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้น ร่างกฎหมายอากาศสะอาดฉบับที่ประชาชนคนไทยรอคอย จะต้อง “ตกไป” และความพยายามทั้งหมดของทุกภาคส่วนจะสูญเปล่า และเวลาที่สูญเสียไป อาจส่งผลให้คนไทยต้องเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด จึงขอเรียกร้องไปยังสมาชิกวุฒิสภา ดังนี้
1. โปรดเร่งรัดการพิจารณา “ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ในวาระที่ 2 และ 3 ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด โดยคำนึงถึงสถานการณ์ฝุ่นพิษที่กำลังจะมาถึงเป็นที่ตั้ง และโปรดยึดมั่นในหลักการการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เพื่อชีวิตของคนไทยที่ยั่งยืน และยืนยาว มากกว่าสถานะ หรือผลประโยชน์ของคนใดหรือกลุ่มธุรกิจใดกลุ่มธุรกิจหนึ่ง
2. โปรดอย่าปล่อยให้ “การยุบสภา” เป็นเหตุผลให้ร่างกฎหมายเพื่อชีวิตของประชาชน ต้องตายไปในมือของท่าน เพราะวุฒิสภาคือ “ความหวัง” ที่จะส่งมอบกฎหมายฉบับนี้ให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทย เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศอย่างเป็นระบบ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะเลือกยืนอยู่เคียงข้าง “สิทธิในอากาศสะอาด” ของประชาชน
นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ขอเรียกร้องต่อคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ให้พิจารณาทบทวนจุดยืนของท่าน รวมทั้งยุติการคัดค้านและช่วยกันผลักดันเร่งรัดการออกกฎหมายฉบับนี้ ควรแสดงวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำ โดยเปลี่ยนจากการมองว่ากฎหมายนี้เป็น “ภาระ” มาเป็นการ “สนับสนุน” เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมไทย ให้สู่มาตรฐานการผลิตที่ยั่งยืน ตลอดจนร่วมมือกับภาครัฐและภาคประชาชนในการผลักดันกลไกสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยให้สามารถปรับตัวได้ตามที่กฎหมายได้ออกแบบไว้
“สำคัญที่สุด คือ ลองถอดหัวโขน ตำแหน่งสถานะ และมุมมองของความเป็นนักธุรกิจ แต่ใช้มุมมอง และความรู้สึกของการเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องหายใจ และดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มองถึงลูกหลานที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต และมองถึงความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก หรือกระทั่งกับตัวเรา หากวันนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายอากาศสะอาด” นายสาวิทย์ ระบุ
ด้าน รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม นายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นตัวแทนภาคประชาชนที่เสนอร่างกฎหมายฉบับประชาชนเ ข้าชื่อได้มากถึง 20,000 กว่ารายชื่อ และได้ยืนยาวมาถึงขณะนี้ ยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นภาระ ถ้ามีการถามว่าเป็นภาระ ต้องถามกลับว่าเป็นภาระสำหรับใคร แล้วต้องตอบให้ได้ว่า ระหว่างภาระของการทำให้กำไรหดหาย กับภาระที่ทำให้สุขภาพพี่น้องประชาชนเจ็บป่วย และตายเร็วก่อนวัยอันควร ภาระไหนหนักกว่ากัน
“ถ้าเราจะให้น้ำหนักกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากล้นเหลือ จนกระทั่งทุกคนตายหมดไม่เหลืออะไร จะให้มาชื่นชมยินดีกับความเจริญร่ำรวยทางเศรษฐกิจของบางกลุ่มเท่านั้นในประเทศนี้ ก็คิดว่านั่นไม่ใช่ทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะจับเอาหลักวิชาทางศาสตร์ไหนใด ๆ มา ก็ไม่สามารถจะหาคำตอบที่รองรับความชอบธรรม และความชอบด้วยกฎหมาย กับการให้น้ำหนักแบบนั้นได้” นายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดฯ ระบุ
นอกจากนี้ มองว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคนที่ต้องหายใจ เรากำลังพูดถึงสิทธิมนุษยชนทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิทธิในอากาศสะอาดถือว่าเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่มีการเขียนกฎหมายออกมาให้ชัดเจนเพื่อนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิทธิเชิงกระบวนการ ซึ่งเป็นสิทธิในการที่ประชาชนจะต้องรู้ข้อมูลของรัฐ และภาคเอกชน ที่ทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และรวมไปถึงสิทธิในการที่จะมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบระยะยาว กลาง และสั้นด้วย
“สุดท้าย การแก้ปัญหาทุกเรื่อง ไม่ใช่สักแต่ว่าแก้เพื่อจะวนอยู่ในอ่าง แต่ต้องแก้เชิงระบบ แก้ที่ต้นตอ เราเห็นว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษอากาศ การไม่ได้อากาศสะอาด มักจะอยู่บนฐานของปัญหาเชิงโครงสร้าง และก่อให้เกิดความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ลึกลงไปกว่านั้นคือความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมความคิดที่มายเซตยังแตกต่างมากมาย จึงทำให้เกิดอาการที่ไม่สามารถรับร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่มีวิธีคิดอย่างยั่งยืนได้” รศ.คนึงนิจ กล่าว
รศ.คนึงนิจ กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสที่จะประกาศให้คนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะรัฐหรือผู้ประกอบการธุรกิจเอกชน รายเล็ก รายใหญ่ รายย่อยได้รับทราบว่า เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์เราหลีกหนีความจริงนี้ไม่ได้ ดังนั้น การเรียกร้องให้หันมาดูกฎหมายฉบับนี้อย่างถ่องแท้ ดีกว่าที่จะตั้งหน้าในการปฏิเสธและต่อต้าน และให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับสิ่งที่พ.ร.บ.อากาศสะอาด เขียนไว้
รศ.คนึงนิจ กล่าวว่า ในส่วนของหน้าที่ของผู้ประกอบการ และความรับผิดชอบคือถ้าใครเป็นผู้ก่อมลพิษคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่หนีลอยนวล สิ่งที่จะแก้ปัญหามลพิษอากาศ PM 2.5 และเพื่อให้ได้มาซึ่งอากาศสะอาดนี้ ไม่ใช่เพียงแก้หน้าฉากระยะสั้น แต่พูดถึงความยั่งยืนในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ไม่เพียงแต่แก้ปัญหา แต่เพื่อสร้างหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมทางสิ่งแวดล้อม
“ขอเรียกร้องว่า โปรดกลับมาเป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วเห็นอกเห็นใจความเป็นเพื่อนมนุษย์ อย่ารังแกมนุษย์ด้วยกัน และอย่าใช้มนุษย์เป็นแพะบูชายัญสังเวยความสุขความร่ำรวยของใครคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ประเทศนี้ สังคมนี้ เป็นของพวกเราทุกคนและประชาชน 60-70 ล้านคน ทุกคนต้องหายใจ เราต้องการอากาศสะอาด และเราต้องการกฎหมายอากาศสะอาดที่มีเขี้ยวเล็บ ไม่ใช่กฎหมายอากาศสะอาดที่มีแต่ปกหน้า แต่ว่าเนื้อในถูกถอดออกหมด ที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ” รศ.คนึงนิจ กล่าว
เมื่อถามว่า อุปสรรคอะไรที่จะทำให้พ.ร.บ.อากาศสะอาดนี้ไม่ผ่าน รศ.คนึงนิจ กล่าวว่า ในเชิงเทคนิคมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ทันยุบสภา เพราะจะยุบสภาวันไหนยังไม่มีใครรู้ ไม่มีวันรู้ว่าเปิดสมัยประชุมสภาฯ วันที่ 12 ธ.ค. จะยุบเลยหรือไม่ เราคาดการณ์อะไรไม่ได้เลย คือเราก็ไม่อยากให้ยุบ หรือถ้าจะยุบสภา ก็ขอให้กฎหมายผ่านไปได้ก่อน
อย่างไรก็ดี ก็ไม่ได้แปลว่าให้ไปลดทอนคุณภาพของเนื้อหาลงแบบที่มีใครบางคนบอกว่า ให้ปล่อย ๆ ไปก่อนแล้วค่อยไปแก้ทีหลัง ซึ่งเราไม่เห็นด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ ไม่ต้องผ่านกฎหมายยังจะดีกว่าที่ออกกฎหมายพิกลพิการออกมา แล้วเป็นพิษเป็นภัยกับประชาชน ดังนั้น ต้องให้ระวังเรื่องของความเร็ว และคุณภาพ ต้องสัมพันธ์กัน
ทั้งนี้ หากกฎหมายอากาศสะอาดไม่สามารถผ่านได้ในรัฐบาลชุดนี้ ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบนั้น รศ.คนึงนิจ กล่าวว่า ความรับผิดชอบแบ่งออกเป็น 2 แบบให้เลือก คือ ความรับผิดชอบทางการเมือง กับความรับผิดชอบทางกฎหมาย อยากจะเลือกอะไรอยากจะเล่นใครก็ตามสะดวก พ.ร.บ.ก็มีให้ใช้มากมาย แล้วก็ยุคสมัยนี้ก็จะมีช่องทางหลาย ๆ อย่าง เช่น กิจกรรมทางการเมือง เราคงจะไม่กล่าวโทษกันไปมา ณ เวลานี้ว่า ใครทำให้กฎหมายนี้ตกไปหล่นไป
“ชวนให้คิดข้ามช็อตไปว่า ถ้าเกิดว่ามียุบสภา แล้วกฎหมายตกไป แล้วหลังจากนั้นในทางกฎหมาย คือถ้ามีการเลือกตั้งได้รัฐบาลใหม่ หลังรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นแล้ว หยิบขึ้นมาพิจารณาภายในกำหนด ก็จะสามารถย้อนไป ณ จุดที่ค้างคาได้ แต่ถ้าไม่ ก็นับหนึ่งใหม่ แล้วก็เข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน เราเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งทำไมจะทำอีกไม่ได้ และถ้าทำในครั้งที่ 2 นี้ ร่างพ.ร.บ.นี้จะทรงเครื่องมากกว่าฉบับไหน ๆ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น ก็มองไม่เห็นว่าจะมาถ่วงเวลาเพื่ออะไร เพราะว่าเป็นเรื่องที่ฆ่าไม่ตาย ยังไงก็กลับหวนกลับมาใหม่ ตราบใดที่ภาคประชาชนยังมีพลังเข้มแข็งแบบวันนี้” รศ.คนึงนิจ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 พ.ย. 68)





