สทนช.ชี้ฝนหนักลากยาวถึงต้นหนาว ดันน้ำท่วมยาวนาน ไทยรับอิทธิพลพายุ 7 ลูก

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปี 2568 ประชาชนหลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมที่ยาวนานกว่าปกติ

จากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางอ้อมจากพายุถึง 6 ลูก ได้แก่ พายุวิภา คาจิกิ หนองฟ้า ตาปะฮ์ รากาซา และบัวลอย ส่งผลให้ร่องความกดอากาศและหย่อมความกดอากาศต่ำมีกำลังแรง ทำให้มีปริมาณฝนตกเป็นจำนวนมากตลอดฤดู และมีน้ำไหลเข้าสะสมในเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบายน้ำของเขื่อนจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ท้ายน้ำควบคู่กันไป ในหลายช่วงเวลาจึงจำเป็นต้องมีการลดการระบายน้ำเพื่อช่วยหน่วงน้ำไว้ในเขื่อน ไม่ให้ไหลไปสมทบในพื้นที่ที่มีระดับน้ำสูงอยู่แล้ว ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งมีปริมาณน้ำจำนวนมากในช่วงปลายฤดูฝน โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลที่ต้องระบายน้ำในอัตรา 30-55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อนและเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ ในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงสามารถรักษาอัตราการระบายอย่างคงที่ เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยน้ำจากเขื่อนในพื้นที่ตอนบนของประเทศ คิดเป็นประมาณ 25% ของน้ำท่าที่ไหลจากเขื่อนเจ้าพระยา

ขณะเดียวกันช่วงปลายเดือนตุลาคมซึ่งปกติปริมาณน้ำจะเริ่มลดลง แต่ปีนี้กลับมีฝนตกหนักต่อเนื่อง นอกจากนี้ในช่วงวันที่ 31 ต.ค.-9 พ.ย.68 ซึ่งถือเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว ยังมีพายุคัลแมกีเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง ทำให้ปริมาณฝนเดือน พ.ย.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้องเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอีกครั้งสูงสุดถึง 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งสูงกว่าจุดวิกฤตที่ 2,730 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดด้านท้ายเขื่อน เช่น จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา รวมถึงพื้นที่ลุ่มต่ำสองฝั่งแม่น้ำ

ขณะนี้ทุกหน่วยงานยังคงเร่งบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่ โดยได้ปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล และทยอยลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาลงตามลำดับ พร้อมทั้งระดมสรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย เพื่อให้สามารถเข้าฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้โดยเร็วที่สุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 68)