
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก [OR] เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 4/68 ว่า โดยปกติไตรมาส 4 เป็นช่วง High season ของบริษัท ด้วยราคาน้ำมันที่ปีนี้มีความผันผวนน้อยกว่าในอดีตเป็นแนวโน้มอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐฯ ประกอบกับบริษัทบริหาร Inventory อย่างเหมาะสม มีการทำ Hedging Inventory และการทำราคาซื้อขาย ในไตรมาส 4 เรายังมีความมั่นใจในผลประกอบการ รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ยังมีการเติบโต
สำหรับกระแสเงินสดปัจจุบันอยู่ที่ 35,068 ล้านบาท บริษัทจะลงทุนทั้งขยายธุรกิจ Lifestyle โดยเฉพาะ F&B ทั้งของบริษัท รวมทั้งเปิดโอกาสลงทุนแบรนด์ใหม่ ๆ รวมทั้งลงทุนธุรกิจ Mobility แม้ระยะยาวการเติบโตจะทรงตัว แต่บริษัทยังลงทุนทั้งเสริมความแข็งแกร่งสถานีในเครือข่าย และการบำรุงรักษาสถานีให้ยังคงสวยงาม และคงการบริการที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังลงทุนในต่างประเทศ ประกอบกับพิจารณาจ่ายเงินปันผล
ด้านนางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ OR กล่าวว่า แม้ไตรมาส 4/68 การเติบโตอาจไม่ได้มาก แต่เชื่อว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีเนื่องจากเป็นช่วงพีคซีซั่น ทั้งธุรกิจ Mobility และ ธุรกิจ Lifestyle ประกอบกับได้แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวดีมีคืน โครงการคนละครึ่งพลัส จะช่วยสนับสนุนทางอ้อมให้กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แม้เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวก็ตาม
ขณะที่ในต่างประเทศที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ การเติบโตของเศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าไทย แต่ในกัมพูชาปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชายังส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในไตรมาส 3/68 อย่างไรก็ตามบริษัทยังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและปรับกลยุทธ์การสถานการณ์เพื่อรักษาผลการดำเนินงานต่อไปได้ โดยสัดส่วนของการขอเปลี่ยนแบรนด์สถานีปั๊มน้ำมันกัมพูชาเป็น Local Brand ในปัจจุบันมีดีลเลอร์ที่ขอรีแบรนด์ประมาณ 50 สถานี
สำหรับภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวปี 69 ลดลงจากปีที่แล้ว จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ซึ่งภาครัฐก็พยายามออกมาตรการเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น ทั้งนี้แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง แต่จำนวนเที่ยวบินมาไทยยังเติบโต ทำให้ปริมาณน้ำมันอากาศยานของบริษัทยังเติบโตได้ต่อเรื่อง
ด้านการเติบโตธุรกิจ EV ขึ้นอยู่กับการเติบโตของจำนวนรถ โดยบริษัทจะไม่ลงทุนธุรกิจ EV ที่มากกว่าจำนวนรถ โดยปีนี้ยังเพิ่มสถานีให้บริการ EV Charging โดยการเติบโตข้างหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง แต่การเติบขึ้นอยู่กับจำนวนคนใช้รถ EV โดยมุ่งเน้นลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ให้รองรับการใช้งาน ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำอยู่ในตลาด และยังลงทุนต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าธุรกิจ EV จะเป็นความหวังของบริษัท เนื่องจากจะทดแทนพลังงานฟอสซิลที่ค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ผลประกอบการที่ผ่านมาขาดทุนลดลงเรื่อย ๆ ดีกว่าแผนที่คาดไว้ จากการมีจำนวนรถ EV ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับความคืบหน้าธุรกิจโรงแรม เพื่อรองรับจุดใหญ่ของการเดินทางอยู่ระหว่างเตรียมการซึ่งในไตรมาส 4/68 อาจเห็นความชัดเจนความร่วมมือกับพันธมิตร และปี 69 จะเริ่มเห็นการลงมือก่อสร้างในพื้นที่ที่เหมาะสม
ด้านดีมานด์จากใช้น้ำมัน โดยปกติปริมาณขายน้ำจะเติบโตตาม GDP ของประเทศ ซึ่งปีนี้คาดจะทรงตัว ขณะที่การใช้น้ำมันในตลาดรีเทล เริ่มหดตัว จากการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมทั้งเส้นทางขนส่งสาธารณะที่มากขึ้น ทำให้การใช้รถยนต์ลดลง ซึ่งเป็นการลดลงทั้งอุตสาหกรรม แต่ OR ยังลดลงน้อยกว่าตลาด ด้านมาร์เก็ตแชร์สำหรับรีเทล บริษัทเคยอยู่จุดต่ำสุดในไตรมาส 1/67 ที่ 35% ปัจจุบันกลับขึ้นมาที่ 35.9% ทิศทางต่อไปคาดว่าปริมาณขายยังลดลง แต่ยังมั่นใจว่าทำได้ดีกว่าตลาด ซึ่งจะสามารถชิงมาร์เก็ตแชร์ได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดคอมเมอเชียลน้ำมันอากาศยานยังเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจ Global เทรนด์การใช้น้ำมันโลกไม่ได้เติบโตรุนแรงเหมือนในอดีต จากการเพิ่มขึ้นของพลังงานสะอาด คาดว่าธุรกิจ Global ในตลาดฟิลิปปินส์น่าจะมีการขยายตัวต่อเรื่อง ในลาวค่อนข้างเติบโตได้อย่างตามการเติบโตของ GDP ส่วนกัมพูชาเนื่องจากมีประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และมีผลต่อบริษัท ตั้งแต่ 2H68 ปีนี้กระทบต่อยอดขายให้ลดลง ปีหน้าคาดหวังว่าเหตุการณ์ถ้ากลับมาปกติจะสามารถกลับฟื้นตัวได้ 2H69
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ย. 68)





