SCB EIC คาด GDP ปี 69 โตชะลอเหลือ 1.5% ต่ำสุดรอบ 3 ทศวรรษ เก็งกนง.หั่นดบ.เหลือ 1% ใน H1/69

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 69 จะโตแค่ 1.5% ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ (ไม่นับช่วงปีวิกฤต) ชะลอตัวลงจาก 2.0% ในปี 68 โดยมีแรงกดดันหลักมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และการแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ และจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเปราะบางในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่กระทบต่อกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศ และข้อจำกัดการคลังภายใต้ความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่ไทยต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างเครื่องยนต์ใหม่ที่จะแผ่วลงเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะภาคส่งออก ดังนั้น จำเป็นยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจรองรับความผันผวนที่รุนแรงขึ้น

“เศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวต่ำกว่า 2% ในช่วงวิกฤติต่าง ๆ ที่ผ่านมา ได้แก่ วิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 51-52 น้ำท่วมใหญ่ปี 54 ปฎิวัติปี 57 และโควิด-19 ปี 63 แต่ในปีหน้าจะเป็นปีแรกในรอบ 30 ปีที่เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่า 2% โดยเศรษฐกิจไทยอยู่ในกับดัก Low Growth มาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีปัจจัยหลัก ๆ มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่างไรก็ดี ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในปี 69 จะโตมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ประเมินไว้ จากปัจจัยบวกและลบต่าง ๆ ที่ต้องจับตา อย่างไรก็ดี ส่วนตัวมองว่าไม่อยากเห็นเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 2% จนกลายเป็น New Normal” นายยรรยง กล่าว

สำหรับ 7 ประเด็นที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย จากโค้งสุดท้ายปี 68 สู่ปี 69 ได้แก่

1. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยของสงครามการค้าและการแข่งขันจากภายนอก

แม้การส่งออกไทยจะขยายตัวสูงในปี 68 แต่แนวโน้มปี 69 มีโอกาสพลิกกลับมาหดตัว 1.5% จากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการค้าและผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ชัดเจนขึ้น 2) แรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนขึ้นภาษี (Front-loading) กำลังหมดไปหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีนี้ 3) ความเสี่ยงจากการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าสวมสิทธิ และ 4) การแข่งขันจากจีนทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีตอบโต้อัตราสูงเป็นเวลา 1 ปี ทำให้สินค้าจีนอาจกลับมาชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ได้มากขึ้น

ทั้งนี้ การส่งออกและนำเข้าของไทยยังมีความเสี่ยงจากข้อสรุปการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจล่าช้า ท่ามกลางกรณีขัดแย้งกัมพูชาที่รุนแรงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด

สำหรับภาคการท่องเที่ยวปี 69 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นจากปี 68 ประมาณ 4% มาอยู่ที่ราว 34.1 ล้านคน (ปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ 32.9 ล้านคน) แต่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป การแข่งขันด้านท่องเที่ยว (Tourism war) ในเอเชียที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น รวมถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อ ล้วนจะเป็นความท้าทายสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย

2. ผลกระทบจากความเปราะบางด้านรายได้และหนี้ครัวเรือนต่อการบริโภคภาคเอกชน

การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในปี 69 จากหลายปัจจัย โดยรายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้า ท่ามกลางตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้นในปีนี้ สะท้อนจากการจ้างงานและชั่วโมงทำงานที่ลดลง ข้อมูลจาก SCB EIC Consumer survey ปี 68 ชี้ว่า ผู้บริโภคยังเผชิญปัญหารายได้โตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่ภาระหนี้ยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงการชำระหนี้เริ่มกระจายไปสู่กลุ่มรายได้สูงมากขึ้น นอกจากนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพยังทรงตัวในระดับสูง ทำให้ครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ (Deleveraging) ซึ่งจะเป็นแรงกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า

3. การลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนในหลายมิติ

การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้ในปีหน้า แต่อยู่ในระดับต่ำ แรงหนุนสำคัญมาจากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสสร้างเครื่องยนต์การลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น ดาตาเซ็นเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รองรับตลาดอาเซียน ทำให้ไทยยังคงเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิตสำคัญในโลกได้ อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากการลงทุนต่อเศรษฐกิจอาจไม่มาก เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วน (Import content) ของไทยสูงขึ้นมากจากอดีต โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ทำให้การลงทุนไม่ได้สร้างประโยชน์เต็มที่ต่อภาคการผลิตในประเทศ และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อประเด็น Transshipment tariff กับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ธุรกิจไทยยังเผชิญความสามารถทำกำไรที่ลดลงต่อเนื่องและมีสัดส่วนหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการลงทุนในภาพรวม

4. การปรับตัวของภาวะการเงินที่ตึงตัว

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันพรุ่งนี้ (17 ธ.ค.) คาดว่า กนง. จะมีมติลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ แม้ในปี 68 กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ภาวะการเงินตึงตัวขึ้นมากจากสินเชื่อภาคครัวเรือนและ SME ที่หดตัว และค่าเงินบาทที่แข็งตัวมาก ในปี 69 SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ในช่วงไตรมาส 2/69 ลงมาอยู่ที่ 1.0% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำผ่านการลดต้นทุนทางการเงินและลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาท และเพื่อยกระดับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะ Debt deflation ที่อาจกดดันการใช้จ่ายในประเทศในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี การลดดอกเบี้ยนโยบาย อาจไม่ช่วยให้สินเชื่อครัวเรือนและ SME ปรับตัวดีขึ้นมากนัก เนื่องจากฐานะการเงินครัวเรือนและ SME ยังคงเปราะบางท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินจะยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่ออยู่

นายยรรยง กล่าวว่า เงินบาทได้กลับมาแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาคตั้งแต่ไตรมาส 4/68 โดยนอกจากจะทำให้ภาวะการเงินตึงตัวเพิ่มในระยะสั้นแล้ว อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินเฟ้อไทยอยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง ผ่านการนำเข้าสินค้าราคาถูก สำหรับปี 69 ในช่วงครึ่งปีแรก เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ แต่ในระยะกลาง-ยาว ตั้งแต่ไตรมาส 2/69 เป็นต้นไป มองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าได้ จากปัจจัยภายนอก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะถูกแทรกแซงน่าจะปรับลดลง

ส่วนปัจจัยภายใน ได้แก่ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง, ไทยอาจจะไม่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์ AI มากเท่าประเทศในภูมิภาค และราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลงในปี 69 รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามลดความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำลง จึงทำให้แรงพยุงเงินบาทในปีหน้าอาจลดลง มุมมองค่าเงินบาทคาดกรอบอยู่ที่ 33.00-34.00 บาท/ดอลลาร์

5. การเมืองไม่แน่นอน กระทบการคลังและเศรษฐกิจอย่างไร

ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการยุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค. 68 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการคลัง โดยคาดว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณ 2569 จะทำได้น้อยกว่าปกติ ขณะที่การจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2570 มีแนวโน้มล่าช้าบ้าง ซึ่งจะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนช่วงต้นปีงบประมาณ 2570 ต่ำกว่าปกติ แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงมาก แต่ความไม่แน่นอนยังสูง นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐในระยะกลางจะเผชิญข้อจำกัดการคลังมากขึ้น จากความพยายามปฏิรูปการคลังเพื่อลดขนาดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อสถาบันเครดิตเรตติงและเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองกระทบการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่และการใช้จ่ายภาครัฐ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดย SCB EIC ประเมิน 3 ฉากทัศน์ ของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ดังนี้

  • Baseline : 5 เดือน ได้นายกใหม่ ต้นเดือนพ.ค. ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐ งบลงทุนปี 69 เบิกจ่ายต่ำกว่าปกติ และพ.ร.บ.งบฯ ปี 70 ล่าช้า 1-2 เดือน
  • Better : 3-4 เดือน ได้นายกใหม่ ต้นเดือน เม.ย. ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐ งบลงทุนปี 69 เบิกจ่ายต่ำกว่าปกติบ้าง และพ.ร.บ.งบฯ ปี 70 ออกใช้ปกติ ผลบวกต่อเศรษฐกิจ คือสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนและบริโภคได้บ้าง
  • Worse : มากกว่า 6 เดือน ได้นายกใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 69 (เลื่อนเลือกตั้ง โหวตนายกใหม่ช้า) ส่งผลให้การใช้จ่ายภาครัฐ งบลงทุนปี 69 เบิกจ่ายต่ำกว่าปกติมาก และพ.ร.บ.งบฯ ปี 70 ล่าช้า มากกว่า 3 เดือน โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจ คือเม็ดเงินสนับสนุนเศรษฐกิจภาครัฐไม่ต่อเนื่อง, การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้า/ เสียเปรียบมากขึ้น, ลดความเชื่อมั่นการลงทุนและบริโภค และเสี่ยงปรับลดเครดิตเรตติ้ง

โดยมองปัจจัยเสี่ยงการเลือกตั้งใหม่ ได้แก่ ความไม่สงบชายแดนกัมพูชา กระทบวันเลือกตั้ง หรือข้อร้องเรียนหลังเลือกตั้ง, ผลตัดสินคดีทางการเมืองเช่น กรณี 44 สส.พรรคก้าวไกล (เดิม) และผลเลือกตั้งมีผลต่อระยะเวลาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส่วนปัจจัยเสี่ยง พ.ร.บ.งบฯ ปี 70 ล่าช้า ได้แก่ ระยะเวลาเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ และการทบทวนร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 70 ตามแนวนโยบายรัฐบาลใหม่

6. การปฏิรูปเชิงโครงสร้างคือทางออกของเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและความเสี่ยงต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงความเปราะบางภายในประเทศที่สะสมมานาน ทำให้การปฏิรูปเชิงโครงสร้างกลายเป็นทางออกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยจำเป็นต้องสานต่อและเร่งเดินหน้านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยเน้นนโยบายระยะยาวเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เน้นการยกระดับนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น การคลายอุปสรรคการลงทุน และการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพผ่านแพลตฟอร์มการปฏิรูปประเทศร่วมกับภาคเอกชน (Reinvent Thailand)

7. ธุรกิจไหนไปต่อได้ ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด

ในปี 69 ทิศทางธุรกิจไทยจะถูกขับเคลื่อนด้วยความท้าทาย 5 ด้าน ได้แก่ 1) ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานการค้าโลก 2) กำลังซื้อครัวเรือนที่เปราะบาง 3) ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ 4) การแข่งขันรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ 5) แรงกดดันจากเมกะเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยภาพรวมความเสี่ยงด้านลบมีน้ำหนักมากกว่าด้านบวก ทำให้ภาพรวมธุรกิจในปี 69 ยังมีแนวโน้มชะลอตัว กลุ่มที่ชะลอตัวและยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ได้แก่ ภาคการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, ปิโตรเคมี และเหล็ก) รวมถึงภาคอสังหาฯ ที่ยังซบเซาต่อเนื่อง ขณะที่ภาคบริการ เช่น ท่องเที่ยวและค้าปลีก ยังเติบโตได้ท่ามกลางความเสี่ยงที่ต้องรับมือ

อย่างไรก็ตาม บางกลุ่มธุรกิจหรือแม้แต่ธุรกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว หากสามารถปรับตัวได้ ก็ยังมีโอกาสเติบโตและอาศัยประโยชน์จากเมกะเทรนด์ได้ เช่น ธุรกิจที่นำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ หรือปรับตัวสอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่และความยั่งยืน รวมถึงธุรกิจที่สามารถกระจายตลาดหรือเจาะกลุ่มที่มีศักยภาพแทนได้ อย่างไรก็ดี การปรับตัวของภาคธุรกิจยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านมาตรการเชิงรุกระยะสั้น เช่น การกระตุ้นอุปสงค์ สร้างความเชื่อมั่น และเสริมสภาพคล่อง รวมถึงมาตรการระยะยาวในการขจัดอุปสรรค ปรับโครงสร้าง และเสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมเดิม พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ธ.ค. 68)