
บมจ.ผลิตไฟฟ้า [EGCO] จัดงบ 30,000 ล้านบาทในปี 69 ขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบการควบรวมกิจการ (M&A) และ Greenfield พร้อมจับตลาด Data Center ทั้งในไทยสหรัฐ และตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันเตรียมขายโรงไฟฟ้าในประเทศออก 2 แห่งสร้างกระแสเงินสดภายในครึ่งแรกปี 69 และวางแผนงานสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในระยะสั้น เร่งลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 22% ภายในปี 73 พร้อมศึกษา CCUS
นายธวัชชัย สำราญวานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO เปิดเผยว่า ในปี 69 เตรียมงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท โดยจะใช้แสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ทั้งในธุรกิจไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติคุณภาพสูงและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield
สำหรับเงินลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า 80% จะลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซ และอีก 20% จะลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ด้วยการต่อยอดและเน้นการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจและพันธมิตรอยู่แล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจสำคัญที่ EGCO ได้เข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle II กำลังการผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ (MW) , การเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็น 38% ในโรงไฟฟ้า Linden Cogen เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) ขนาดกำลังผลิต 980 เมกะวัตต์ และเตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟ้าที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจ Data Center
ขณะที่ในอินโดนีเซีย เป็นการขยายการลงทุนผ่าน CDI Group ส่วนในไทยที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบที่ 2 จำนวน 11 โครงการ กำลังผลิต 448 MW และศึกษาความเป็นไปได้ Direct PPA ผลิตไฟฟ้าให้กับ Data Center
นายธวัชชัย กล่าวว่า ระหว่างนี้ EGCO เจรจาดีล M&A ลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐฯ, ตะวันออกกลางและไทย โดยคาดว่าภายในไตรมาส 2/69 จะปิดดีลควบรวมกิจการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯได้อีก 2 ดีล ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าน่าจะเห็นการปิดดีล M&A ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าก๊าซ
ขณะที่บริษัทมองว่าธุรกิจ Data Center จะเพิ่มโอกาสที่ให้บริษัทเป็น Service Provider ให้กลุ่ม Data Center เพราะต้องการไฟฟ้าที่มั่นคงสูง ทั้งในไทย สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง โดยในไทยได้เตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใน จ.ระยอง พื้นที่ 600 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่เขต EEC ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนธุรกิจนี้ ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากผู้สนใจหลายรายที่จะพัฒนาธุรกิจ Data Center เบื้องต้นต้องการมากกว่า 100 MW
นายธวัชชัย คาดว่า รายได้ปี 69 จะดีกว่าปี 68 จากพอร์ตโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และความต้องการไฟฟ้ามากขึ้นจากธุรกิจ Data Center และ AI ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาไฟฟ้าตลาดสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้สร้างการเติบโตได้ดีขึ้น และบริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ภายใต้สัญญาใหม่ขนาด 400 MW ที่เริ่ม COD ในวันที่ 26 ต.ค. 68 ช่วยรายได้-กำไรเพิ่มขึ้น ในอินโดนีเซีย ที่ลงทุนผ่าน CDI Group 30% รับการเติบโตโครงสร้างพื้นฐาน
ปี 69 จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจาก APEX Clean Energy (EGCO ถือ 17.46%) จากโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 4 โครงการ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 637 เมกะวัตต์ ได้แก่ (1) Coldwater Solar ขนาด 150 MW คาดว่าจะเดินเครื่อง (COD) ไตรมาส 1/69 (2) Bowman Wind พลังลม ขนาด 209 MW คาด COD ไตรมาส 1/69 (3) Lotus Wind พลังลม ขนาด 200 MW คาด COD ไตรมาส 2/69 และ (4) Rocky Forge Wind พลังลม ขนาด 78 MW คาด COD ไตรมาส 4/69
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขายโรงไฟฟ้าก๊าซ 2 แห่งในไทย ตามแผน Asset Recycling จากที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสมขายทำกำไร หรือทำกำไรเพื่อนำเงินไปต่อยอดธุรกิจ
ส่วนในไตรมาส 4/68 อาจจะลุ้นว่าพลิกมีกำไรหรือไม่ หลังจากในไตรมาส 3/68 มีผลขาดทุนสุทธิ 656 ล้านบาท แม้ว่าโรงไฟฟ้า Quezon จะกลับมาเดินเครื่องปลาย ต.ค. แต่ภายใต้สัญญาใหม่ ค่าไฟถูกลง แต่ค่าไฟในสหรัฐและเกาหลีใต้อยู้ในเกณฑ์ดี
ปัจจุบัน พอร์ตโฟลิโอธุรกิจไฟฟ้าของ EGCO มีทั้งหมด 6,836 MW ตามสัดส่วนการถือหุ้น เป็นธุรกิจไฟฟ้าในประเทศ 42% เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 2,926 MW และธรุกิจไฟฟ้าต่างประเทศ 58% กำลังผลิต 3,910 MW โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 3,798 MW และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 112 MW
กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO กล่าวว่า บริษัทได้วางเป้าหมายและแผนดำเนินการสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรก สู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภายในปี 2030 (ปี 2573)
– บริษัทฯเตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 30% จาก 22% ในปัจจุบันภายในปี 73 เพื่อลดคาร์บอน
– การนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า
– การศึกษาความเป็นไปได้ ในการใช้เทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งของบริษัท ได้แก่ โรงไฟฟ้า BLCP ที่ระยอง โรงไฟฟ้าขนอมที่นครศรีธรรมราช และ โรงไฟฟ้า ในเกาหลีใต้
– การศึกษาและแสวงหาโอกาสการลงทุนในเทคโนโลยีไฮโดรเจนตลอดห่วงโซ่อุปทานโดยความร่วมมือกับพนธมิตรที่มีศักยภาพ
ระยะที่สอง สู่ความเป็นกลางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040
– การลงทุนในพลังงานสีเขียวและพลังงานสะอาด โดยเฉพาะไฮโดรเจน อย่างต่อเนื่อง การขยายการประยุกต์ใช้ CCUS ในโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องอยู่ในปัจจุบัน
ระยะที่สาม สู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050
– การปรับปรุงพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด ให้เป้นพลังงานสะอาด 100% ตลอดจนการติดตั้ง CCUS ในโรงไฟฟ้าทุกแห่ง ขยายธุจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 68)





