มองมุมต่าง: 3 ธีมการลงทุนดึงเงิน “ต่างชาติ” กลับไทย หลังงาน “SET Singapore Roadshow 2025”

ภายหลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บล.เกียรตินาคินภัทร (KKPS) และ Bank of America ร่วมกันจัดโรดโชว์ “SET Singapore Roadshow 2025” โดยพาบริษัทจดทะเบียน 7 แห่ง จากหลายหมวดธุรกิจร่วมให้ข้อมูลแผนการดำเนินงาน แสดงศักยภาพและความแข็งแกร่ง

พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ คือนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายพลช หุตะเจริญ ผู้อำนวยการกองพัฒนาตลาดตราสารหนี้ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ร่วมคณะไปตอกย้ำนโยบายภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน โดยได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนสถาบันในสิงคโปร์เข้าร่วมงานกว่า 20 กองทุน เมื่อวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2568

ตลาดหุ้นไทย ได้ feedback จากนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยหลากหลายมุมมอง แต่ส่วนใหญ่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยมองว่าเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะเรื่อง GDP และการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตช้า แม้ในหลายประเทศจะชะลอตัวเช่นกัน แต่ไทยนั้นดูจะมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวมากกว่าประเทศอื่นๆ การหายไปของนักท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องยนต์สำคัญ ทำให้การเติบโตของภาคบริโภคมีโอกาสชะลอตัวลงมากกว่าประเทศอื่นอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม

อีกทั้งภาคการผลิต ก็ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศมีแนวโน้มในการเติบโตด้วยลักษณะสินค้าที่มีความเป็น High Value Added มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Semiconductor และความไม่แน่นอนจะยิ่งมีมากขึ้นในรัฐบาล “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งทำให้ไทยอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นถ้ามีแนวโน้มที่สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อภาคเอกชนยังฟื้นตัวยาก นักลงทุนจึงคาดหวังให้ภาครัฐเข้ามาช่วย แต่ทั้งนโยบายการคลังที่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก และนโยบายการเงินที่ตึงตัว กลับทำให้เศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะแรงกดดันจากเงินฝืด ปริมาณเงินในระบบไม่เติบโต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องกับระบบเศรษฐกิจในสภาวะปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี เมื่อคณะของรัฐบาลไปพูดคุย ทำให้นักลงทุนก็เริ่มมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น และมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยมิได้นิ่งนอนใจ รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กำลังรวบรวมสรรพกำลังในการแก้ไข และผลักดันให้ภาพรวมของเศรษฐกิจและการเมืองเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลเองมีแผนการและมีหลากหลายโปรเจ็คต์ที่จะผลักดัน ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูดีขึ้นและมีแนวโน้มที่เป็นบวก

ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติมองถึง 3 ธีมการลงทุนหลักที่นักลงทุนต่างชาติยังมองเห็นโอกาสในไทย ดังนี้

1. Capital Management – นักลงทุนต่างประเทศชื่นชอบบริษัทหรือสถาบันการเงินที่บริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจ่ายปันผลสูง ซื้อหุ้นคืนอย่างจริงจัง ซึ่งเทียบกับบริษัทในตลาดสหรัฐฯ หรือในสิงค์โปร์เองอย่างกลุ่ม Singtel หรือ DBS ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเอง ก็มีธุรกิจของธนาคารบางแห่ง อาทิ ธนาคารกสิกรไทย [KBANK] , ธนาคารไทยพาณิชย์ [SCB], ธนาคารทหารไทยธนชาต [TTB] ที่ถูกพูดถึงในแง่บวกจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว

โดยหลักการดูแนวโน้มบริษัทที่สามารถทำ Capital Management นั้นคือการดูแนวโน้มของ กระแสเงินสด หรืออาจดูได้จาก Free Cash Flow Yield เหล่านั้น เป็นต้น

2. External Revenue Link – นักลงทุนมองว่าหุ้นที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศค่อนข้างมาก อย่างเช่น บมจ.ไมเนอร์ อิเตอร์เนชั่นแนล [MINT] ที่มีรายได้ 70-80% จากการดำเนินงานในต่างประเทศ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องพึ่งพาการบริโภคในประเทศเท่านั้น

3. Industry Consolidation & Quasi-Monopoly (กึ่งผูกขาด) – ตัวอย่างเช่น กลุ่มสื่อสาร และ กลุ่มธุรกิจโฆษณา ที่มีการควบรวมกิจการกันจนเหลือผู้เล่นหลักเพียงไม่กี่ราย ทำให้กิจการเหล่านี้มีอำนาจต่อรองสูงและสามารถเติบโตได้ทั้งรายได้และกำไรถึงแม้ว่าจะอยู่ในประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม

ทั้งหมดนี้ คือ หนึ่งในตัวอย่างสาระสำคัญในการไปโรดโชว์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และการสนับสนุนจาก KKPS ที่น่าจะเป็นความหวังให้เกิดการไหลกลับของ Fund Flow รวมถึง “สภาพคล่อง” ที่จะกลับมาของกองทุนต่างชาติที้ได้เข้าร่วมรับฟังข้อมูลอย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่า 20 กองทุน

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 พ.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top