สธ.วางมาตรการเพิ่ม รองรับกักตัวลดเหลือ 10 วัน เริ่มใช้กับประเทศเสี่ยงต่ำ

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงการลดระยะเวลาการกักตัวของผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเหลือ 10 วัน จากเดิม 14 วันว่า จากข้อมูลวิชาการทางการแพทย์ได้มีผลการศึกษาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการกักตัว เพื่อสังเกตอาการว่าจะมีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่นั้น พบว่าการกักกันโรคนาน 10 วัน และ 14 วันมีความเสี่ยงที่ไม่แตกต่างกัน

แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้แนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ติดเชื้อที่พบภายหลังการกักตัว 10 วัน มักจะไม่มีอาการ ดังนั้นจึงมีโอกาสต่ำในการแพร่เชื้อสู่สาธารณะ

ทั้งนี้ การลดระยะเวลากักตัวเหลือ 10 วัน คาดว่าจะเริ่มใช้กับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงของโควิดต่ำหรือใกล้เคียงกับไทยก่อน เช่น จีน, มาเก๊า, เวียดนาม และไต้หวัน

โดยผู้เดินทางจะต้องยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวประเภทพิเศษและการพำนักในประเทศไทย (Special Tourist Visa : STV2) โดยต้องยื่นเอกสารขอรับวีซ่าที่สถานทูตไทยในประเทศต้นทาง ยื่นเอกสารยืนยันก่อนการเดินทาง ได้แก่ ใบรับรองตรวจไม่พบเชื้อโควิดก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ใบ Fit to Fly ใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย ประกันวงเงิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ และการจองที่พักโรงแรมที่เป็นสถานกักกันที่รัฐกำหนด (Alternative Stare Quarantine : ASQ)

เมื่อถึงประเทศไทย จะเข้าด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ดำเนินการตรวจวัดอุณหภูมิ หากพบว่ามีไข้หรืออาการตามนิยามผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จะแยกกักเพื่อสอบสวนโรค นำส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาเชื้อ หากไม่มีไข้หลังผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง จะส่งเข้ารับการกักกันใน ASQ ทำการตรวจหาเชื้อ 3 ครั้ง และตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน 2 ครั้ง คือ วันแรกที่เข้าโรงแรม วันที่ 5 และ 9 ของการกักตัว หากผลเป็นบวกจะนำส่งรักษากับโรงพยาบาลที่เป็นคู่สัญญา หากผลเป็นลบในวันที่ 10 จะประเมินและตรวจเอกสารก่อนอนุญาตให้ออกจากสถานที่กักกันในวันที่ 11

หลังออกจากสถานกักกันโรคจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันใช้ติดตามตัว และชี้แจงให้นักเดินทางทราบถึงการติดตามอาการต่ออีก 4 วัน โดยจัดทีมสนับสนุนติดตามผู้เดินทางอย่างใกล้ชิด เน้นการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง โดยผู้เดินทางรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการกักตัวและรักษาพยาบาล คาดว่าจะเริ่มนำร่องใน 1 เดือนข้างหน้า ภายหลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) หรือ ศบค.ให้ความเห็นชอบ

“ในช่วงระยะเวลากักตัว 10 วันนี้ จะเพิ่มความถี่ในการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี PCR ทั้งหมด 3 ครั้ง คือวันที่เดินทางมาถึงไทย, วันที่ 5 และวันที่ 9 รวมทั้งจะเพิ่มการหาเชื้อด้วยการตรวจเลือดอีก 2 ครั้ง เพื่อดูภูมิคุ้มกันด้วย ซึ่งถ้าภายในระยะเวลา 10 วันที่กักตัวผลตรวจทุกครั้งเป็นลบ ก็จะสามารถออกจากสถานที่กักกันโรคได้ ซึ่งภายหลังที่ครบ 10 วัน และออกจากสถานที่กักกันโรคแล้ว ในวันที่ 11-14 ผู้เดินทางยังจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงของโรค เช่น การสวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล รวมทั้งเพิ่มเติมในเรื่องของการมีระบบติดตามตัว ทั้งทางแอปพลิเคชั่น และริสแบนด์ด้วย”

ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการนี้ จะยึดตามข้อมูลความรู้และฟังความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น กรณีการกักกันโรค 10+4 วัน ก็ผ่านการพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้านจากผู้ทรงคุณวุฒิในทั้ง 3 ระดับแล้ว คือ คณะที่ปรึกษา, คณะกรรมการวิชาการ ในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ รวมทั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ

“ดังนั้นขอให้มั่นใจว่ากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เราบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยข้อมูลหลักฐานทางวิชาการที่มี และเราจะค่อยๆ เริ่มทีละ step ถ้าได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการกักตัว 10+4 วัน เริ่มต้นในประเทศเสี่ยงต่ำ มีการตรวจเพิ่มเติมจากเดิม ทั้ง PCR และเพิ่มการตรวจเลือดเพื่อดูภูมิคุ้มกัน และหลังจากวันที่ 10 คือ วันที่ 11-14 เราจะมีระบบติดตามตัวทั้งแอปพลิเคชั่น และริสท์แบนด์ เพื่อให้แน่ใจว่าความเสี่ยงจะน้อยที่สุด”

นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาส ยืนยันว่า การพบผู้ติดเชื้อไม่ว่ากรณีใดๆ นั้น ในระบบเฝ้าระวัง การตรวจจับ การสอบสวนโรคที่ได้พิสูจน์มาแล้วไม่ว่าจะเป็นกรณีของแม่สอด และกรณีสมุย เชื่อว่าบุคคลากรของกระทรวงสามารถรับมือได้ รวมทั้งการรักษาพยาบาล ยาและเวชภัณฑ์ที่มีอย่างเพียงพอ จึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามาถรกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ส่วนกรณีหญิงชาวฝรั่งเศสที่เดินทางไปสมุย ซึ่งมีการติดเชื้อโควิดนั้น ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมจากเชื้อที่พบบริเวณเครื่องออกกำลังกายในห้องฟิตเนส ภายในสถานกักตัวที่ จ.สมุทรปราการ และพบว่าผู้ที่ติดเชื้อ 3 รายในเวลาใกล้เคียงกันในสถานกักตัวดังกล่าว พักอยู่ห้องใกล้เคียงกัน เชื้อที่ตรวจพบเป็นเชื้อกลุ่มและสายพันธุ์เดียวกัน รหัสพันธุกรรมตรงกัน ทำให้เชื่อได้ว่าเชื้อมีความเชื่อมโยงกัน และมีสมมติฐานว่า สาเหตุการติดเชื้ออาจเกิดจากการถ่ายเทอากาศที่ไม่ดี และอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อในพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งในส่วนนี้จะต้องนำไปสู่การตรวจสอบเพิ่มเติม และจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

“จุดนี้ เราจะต้องไปย้ำกับสถานกักกันโรคทั้งหลาย ให้เน้นย้ำเรื่องการทำความสะอาด การดูแลพื้นที่ส่วนกลาง และระบบระบายอากาศให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น”

นพ.โอภาสกล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (6 พ.ย. 63)

Tags: , , , , , , ,
Back to Top