BAY หั่นคาด GDP ปี 64 เหลือโต 0.6% จาก 1.2% อุปสงค์ในปท.-ท่องเที่ยวอ่อนแอลง

วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 ลงเหลือเติบโต 0.6% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตได้ราว 1.2% เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยวอ่อนแอลงกว่าที่คาดไว้

ทั้งนี้ แบบจำลองของวิจัยกรุงศรีบ่งบอกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศอาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ สาเหตุมาจากสายพันธุ์เดลต้าที่เป็นสายพันธุ์หลักในช่วงที่ผ่านมา

แบบจำลองกรณีฐานระบุว่ามีแนวโน้มที่อัตราการเสียชีวิตรายวันจะสูงสุดในกลางเดือน ก.ย. โดยอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงจะเป็นปัจจัยในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐในปลายเดือน ก.ย. ถึงแม้ว่ามาตรการควบคุมการแพร่ระบาด (non-pharmaceutical interventions (NPIs)) จะยังคงอยู่ตลอดปีนี้ก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าวอยู่ในภายใต้ข้อสมมติว่าจะมีการฉีดวัคซีนตกวันละ 250,000 โดส และประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ที่ 50% การระดมฉีดวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน และประสิทธิภาพของมาตรการล็อกดาวน์ ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญต่อการควบคุมการระบาดในประเทศว่าจะยาวนานเพียงใด

ส่วนในกรณีเลวร้ายที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอาจมีจำนวนสูงตลอดทั้งปีนี้เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์และวัคซีนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลให้ยังคงมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดจนถึงเดือน พ.ย.

ผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงกว่าคาดและผลต่อภาคการผลิต บั่นทอน GDP ปีนี้ลงจากประมาณการครั้งก่อน ล่าสุดวันที่ 27 ส.ค.ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แม้เห็นชอบให้คงมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ต่อไปอีก 14 วัน แต่ได้ผ่อนปรนให้เปิดกิจการ/กิจกรรมภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น การเปิดบริการของร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า (ยกเว้นบางแผนก อาทิ โรงภาพยนต์ สวนน้ำ สวนสนุก) ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอล์ สนามกีฬา เป็นต้น ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64

แม้บางกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่สีแดงเข้มจะเริ่มกลับมาดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไขข้อกำหนดตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.แต่การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่เลวร้ายกว่าคาดจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา ส่งผลให้มีการล็อกดาวน์เข้มงวดนานขึ้นและขยายวงกว้างพื้นที่สีแดงเข้ม นอกจากนี้ การระบาดที่ลุกลามไปยังกลุ่มโรงงาน ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางภาคอุตสาหกรรม ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะกระทบต่อ GDP รวม -2.9% ซึ่งในการประมาณการครั้งก่อนเมื่อกลางเดือน ก.ค.ประเมินผลดังกล่าวไว้แล้ว -2.0%

ดังนั้น ผลกระทบเชิงลบที่เพิ่มเติมจากการระบาดของโควิด-19 ต่อ GDP ปี 64 ในประมาณการครั้งล่าสุดคือ -0.9% สำหรับผลเชิงบวก คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการเพิ่มเติมในปีนี้อีกราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุน GDP ได้ +0.3% ผลกระทบสุทธิต่อการเติบโตของ GDP ในปีนี้โดยรวมแล้วจึงคาดว่าจะลดลงจากคาดการณ์เดิม -0.6% จึงปรับลดประมาณการ GDP ไทยปีนี้เติบโตเหลือ 0.6% จากเดิมคาด 1.2%

สำหรับการส่งออกเดือน ก.ค.เติบโตดีกว่าคาด แต่ผลกระทบจากการระบาดในภาคการผลิตมีความเสี่ยงสูงขึ้น มูลค่าส่งออกอยู่ที่ 22.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 20.3% YoY แม้ชะลอลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 11 ปี แต่สูงกว่าที่วิจัยกรุงศรีคาดการณ์ไว้ที่ 18.7% หากหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ มูลค่าส่งออกเดือนนี้ขยายตัว 25.4%

โดยการส่งออกสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ยังเติบโตกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผลิตภัณฑ์เคมี (+54.0%) ผลิตภัณฑ์เกษตร (+46.4%) ผลิตภัณฑ์พลาสติก (+43.4%) และยานพาหนะและอุปกรณ์ (+36.1%) หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า (+21.9%) และหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (+20.9%) อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรบางรายการหดตัวต่อเนื่อง อาทิ ข้าว จากการแข่งขันทางด้านราคา อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูปซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด

ในระยะข้างหน้า การส่งออกของสินค้าไทยยังคงได้แรงสนับสนุนจากหลายปัจจัย ทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทยอยเพิ่มขึ้น การกลับมาดำเนินการของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว การผ่อนคลายลงของภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการอ่อนค่าของเงินบาท อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศมีเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงและแพร่เข้าสู่ภาคการผลิต ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการปิดชั่วคราวในบางโรงงาน ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกบางสาขา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เน้นใช้แรงงาน ดังนั้น แม้แรงส่งจากปัจจัยภายนอกแข็งแกร่งและสัญญาณเชิงบวกจากตัวเลขส่งออกล่าสุดที่ยังเติบโตมากกว่าคาด แต่ปัจจัยลบภายในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี วิจัยกรุงศรีจึงยังคงประมาณการการเติบโตของการส่งออกของปีนี้ไว้ที่ 13.5% เทียบกับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโต 16.2% (บนฐานข้อมูลกระทรวงพาณิชย์)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top