กนอ. ลงนาม 7 พันธมิตรไทย-ญี่ปุ่น พัฒนานิคมฯ มาบตาพุดสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมด้วย 7 พันธมิตรองค์กรธุรกิจไทยและญี่ปุ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) ผ่านระบบออนไลน์ ในโครงการศึกษาแนวทางในการพัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutral Industrial Estate) ในพื้นที่มาบตาพุด

โดย 7 พันธมิตร ประกอบด้วย นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด, ผู้บริหารบริษัท โอซาก้า แก๊ส จำกัด, นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บมจ. ปตท. (PTT), นางวราวรรณ ทิพพาวนิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC), นายฮิโรยูกิ นัมบุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท คันไซ อิเลกทริค เพาเวอร์ จำกัด, นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และนายชิเกคิ มาเอดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด

นายวีริศ กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ทุกฝ่ายมีเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือในโครงการศึกษาแนวทางในการพัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยที่ต้องการจะเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ ผ่านการดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว

โดย กนอ. มุ่งมั่นสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว และยกระดับมาตรฐานนิคมอุตสาหกรรม ด้วยการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมต้นแบบ 4.0 ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ซึ่งจะอาศัยการออกแบบที่ยั่งยืนด้วยสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีที่สวยงาม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานชีวิตการทำงานในนิคมอุตสาหกรรม

นอกจากการมุ่งสู่ความยั่งยืนแล้ว นิคมอุตสาหกรรม Smart Park จะนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิต ลดการใช้พลังงาน ส่งเสริมการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และหันมาใช้พลังงานสะอาดที่หลากหลาย เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ พลังงานไฮโดรเจน เป็นต้น รวมถึงยกระดับระบบการขนส่งที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ และระบบบริหารจัดการพลังงาน

“นโยบาย BCG ของรัฐบาล มุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการลดคาร์บอน และมาตรการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอน ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดเก็บ การขนส่ง และการใช้งาน สิ่งสำคัญคือต้องกระจายแหล่งพลังงานเพื่อเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการผลิตพลังงานไฮโดรเจนด้วยพลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดที่หลากหลาย เช่น ชีวมวล ซึ่งไฮโดรเจนเหลวสามารถจัดเก็บและขนส่งได้ง่ายกว่าไฟฟ้า เมื่อใช้และแปลงเป็นไฟฟ้า ไฮโดรเจนจะไม่ปล่อยของเสีย นอกจากน้ำ”

นายวีริศ กล่าว

พร้อมระบุว่า การลงนามร่วมกันในวันนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นความท้าทายในการนำไฮโดรเจน และพลังงานสะอาดอื่นๆ มาใช้ในอนาคต นอกจากนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลไทยที่มีต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมรุ่นต่อไป ผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มีบทบาทสำคัญอย่างมาก

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการมีส่วนร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำทั่วโลก ผ่าน “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมระบบโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ 2025” และ “กลยุทธ์การเติบโตสีเขียวผ่านการบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอน” ซึ่งการศึกษาความเป็นไปได้นี้ ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ภายใต้โครงการ “การศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานคุณภาพสูงในต่างประเทศ” เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่ยาวนานระหว่างทั้งสองประเทศ

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี โดยทุกฝ่ายจะประสานความร่วมมือระหว่างกัน ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ประโยชน์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการพัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ในพื้นที่มาบตาพุด ตลอดจนมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

ด้านนายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นมิตรที่ดีของประเทศไทย และพร้อมสนับสนุนความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยคาดหวังถึงอนาคตของความเป็นกลางทางคาร์บอนของทั้งญี่ปุ่นและไทย โดยมองว่าการลดคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรม จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และห่วงโซ่คุณค่าไฮโดรเจนในอาเซียนที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศไทย

นายนพดล กล่าวว่า ปตท. เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาพลังงานระดับโลก โดยมุ่งเน้นการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ความร่วมมือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจและสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพลังงานไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนซึ่งต้องการการสนับสนุนอย่างมากจากฝ่ายต่างๆ โดยเชื่อว่าโครงการนี้ จะสามารถแสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงและสะอาดมาใช้ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และทำให้ไทยก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และนำไปสู่การพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 64)

Tags: , , , , , ,
Back to Top