WFX ตั้งเป้ารายได้ปี 65 โต 10-15% ตามกำลังการผลิตใหม่-ขยายตลาดส่งออก

นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 65 เติบโต 10-15% จากปีนี้ ตามการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างน้อย 10-15% รวมถึงการทำตลาดเชิงรุกเพื่อเข้าถึงส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดพรีเมียมเกรด A หรือ สแตนดาร์ดเกรด ทั้งในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกหลัก และบริษัทมองการขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ในประเทศที่มีการเติบโต เช่น บังคลาเทศ บราซิล และปากีสถาน เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มุ่งเน้นการรับออเดอร์ในกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีออเดอร์เข้ามาค่อนข้างแน่น หรือเต็มกำลังการผลิต โดยคาดว่าออเดอร์จะแน่นไปจนถึงปี 65

“เราคาดหวังการเติบโตในระดับที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันยังมีปัจจัยที่เข้ามากระทบหลายอย่าง ทั้ง การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือความผันผวนของอุตสาหกรรมโลก ซึ่ง WFX มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 98% ของสินค้าที่ผลิตทั้งหมด แต่เรามั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ และจะรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายชวลิต กล่าว

ส่วนความผันผวนของราคาวัตถุดิบในการผลิต บริษัทยอมรับว่าราคามีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ WFX ถือเป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value Added) เป็นสินค้ากลางน้ำ จึงสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้ดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งรูปแบบของการเสนอราคาก็แบบต้นทุนบวกมาร์จิ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถจัดการระดับความเสี่ยงของความผันผวนของราคาวัตถุดิบได้

ขณะที่ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการเป็นผู้ส่งออกเกือบทั้งหมดนั้น บริษัทได้ดำเนินการป้องกันความเสี่ยงไว้เกือบ 100% หรืออย่างน้อย 30-40% อย่างไรก็ตามบริษัทมุ่งเน้นการรักษา Operating Income มากกว่าการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดความผันผวนของราคาวัตถุดิบ หรืออัตราแลกเปลี่ยน บริษัทยังสามารถรักษามาร์จิ้นให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้

นายชวลิต กล่าวว่า หุ้น WFX เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้วันแรก ราคาเปิดเทรดปรับขึ้น 29.86% จากราคา IPO ที่ 7.20 บาท/หุ้น และมีมูลค่าการซื้อขายคึกคัก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในฐานะผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลกรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมสิ่งทอของโลกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากนี้บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเตรียมนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืด กำลังการผลิตติดตั้งรวม 12,400 ตัน/ปี แบ่งเป็นเฟส 1 กำลังการผลิต 6,200 ตัน/ปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ค.65 และเฟส 2 กำลังการผลิต 6,200 ตัน/ปี คาดว่าจะเปิดในเดือน ม.ค.66 คาดใช้เงินลงทุนรวม 740 ล้านบาท และที่เหลือจะใช้คืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทต่อไป

“บริษัทมั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง MARKETLINE คาดการณ์มูลค่าตลาดสิ่งทอในประเทศจีนสำหรับปี 63-68 ฟื้นตัวและมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 8.70% ต่อปี ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ของบริษัทฯ ทั้งนี้ จากแผนเพิ่มกำลังการผลิต 12,400 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 35% จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 ตัน/ปี จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างแข็งแกร่ง”นายชวลิต กล่าว

นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ WFX กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัทจากการขยายกำลังการผลิต และจากจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทฯอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตยางขึ้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด และการที่มีบมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป (TRUBB) ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทช่วยให้เข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ

นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตที่ลดลงจาก Economies of Scale และการบริหารงานภายใต้กลยุทธ์ (Growth Strategy) ในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วโลก ทำให้มั่นใจว่า WFX พร้อมก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดระดับโลกภายใน 3 ปี ตามแผนงานที่วางไว้

“ในช่วงที่ผ่านมา WFX ได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป เช่น ประเทศเยอรมนี อิตาลีโปแลนด์ เป็นต้น และทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล โคลอมเบีย อาร์เจนตินา เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากเราให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของสินค้า ส่งมอบสินค้าตรงเวลา และมีบริการที่น่าประทับใจ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “A Manufacturer of High Quality Natural Rubber Thread” ส่งผลให้ยอดขายและรายได้ในช่วงที่ผ่านมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ”

นายณัฐ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ธ.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top