JAK คาดเข้าเทรด mai 18 ม.ค.หลังเคาะขาย IPO ชูแผนงานเด่นหนุนผลงานโตแกร่ง

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเอสแอล ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท เปิดเผยว่า จักรไพศาลฯ คาดว่าจะนำหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในวันที่ 18 ม.ค. ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “JAK”

ทั้งนี้ JAK เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 82,709,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.85% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยเสนอขายราคาหุ้นละ 1.45 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนราว 200 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 8, 11 และ 12 ม.ค. มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.ไอร่า ,บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) และบล.โกลเบล็ก

“เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ JAK ในครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยราคา IPO ที่กำหนดไว้เป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท โดยมีจุดแข็ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการทำงาน ทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) เฉลี่ยสูงถึง 50% ต่อปี (CAGR) สูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยอยู่ที่ 30% จึงเชื่อมั่นว่า JAK จะเป็นอีกหุ้นการเติบโตที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน”

นายชนะชัย กล่าว

ด้านนายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บมจ.จักรไพศาล เอสเตท เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ประมาณ 120 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ การเข้าลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนา นำไปชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2564 นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัททั้งต่อสถาบันการเงิน คู่ค้าธุรกิจ รวมทั้งลูกค้า

“เม็ดเงินระดมทุนจำนวน 120 ล้านบาท จะยิ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่าเป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับ JAK ในการก้าวสู่การเป็นบริษัทมหาชนและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัท พร้อมทั้งเน้นการถือลงทุนระยะยาว โดยหวังว่าผู้ลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน JAK จะได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่เป็น Growth stock และเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”

นายวีระพันธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO จะทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 320 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 320 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท โดยนายวีระพันธ์ จักรไพศาล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 54.17% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว

นายวีระพันธ์ กล่าวว่า ทิศทางอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยในปี 64 น่าจะใกล้เคียงกับปี 63 ที่ยังมีความยากลำบาก แต่อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ที่มีมากกว่า 25 ปี บริษัทได้เตรียมตัวเป็นอย่างดี ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่าโครงการคอนโดมิเนียมด้วย

ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การร่วมกับลูกค้าในการยื่นกู้กับธนาคารก่อนจองซื้อ ส่งผลให้เมื่อจองซื้อโครงการแล้วจะไม่มีการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้า หลังจากนั้นบริษัทจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 45-60 วัน และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที

“เราไม่เน้นยอดขายมาก ๆ เพราะมีความเสี่ยง เราจึงหันมาใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างรวดเร็ว หากซื้อได้ กู้ได้ เราก็ใช้ระยะสั้นในการก่อสร้างเพื่อที่จะโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อที่จะไม่ให้มีโครงการพร้อมขายมากเพื่อเป็นการลดต้นทุน ซึ่งทำให้เรายังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ไม่ต่ำกว่า 50% สำหรับภาวะแบบนี้อยากจะฝากถึงนักลงทุนว่าในปีที่ยากลำบากที่สุดเราก็ผ่านมาได้ แต่ถ้าเข้าสู่ภาวะปกติเราไม่รอท่าแน่ ตั้งแต่เราทำงานมา 20 กว่าปี ปี 63 มันเป็นปีที่ยากลำบากที่สุด ที่ผ่านมาเจอภาวะเศรษฐกิจ ก็เป็นแค่ภาวะเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ปี 63 เป็นปีที่มีผลกระทบทุก ๆ ด้าน เราผ่านปี 63 ได้แล้วปีอื่นๆเราก็ผ่านได้”

นายวีระพันธ์ กล่าว

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ JAK เปิดเผยว่า จุดเด่นของ JAK เป็นบริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในหลากหลายประเภท ทั้งแนวราบและแนวสูง ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ และอาคารชุด โดยบริษัทมีบริษัทร่วม คือ บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายโครงการไอดิลล์ เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว บ้านแฝดและอาคารพาณิชย์ ตั้งอยู่ที่อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ซึ่งโครงการไอดิลล์อยู่บนทำเลทองที่ราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

JAK เป็นผู้นำทางด้านที่อยู่อาศัยหลังแรกของกลุ่มคนระดับกลางถึงล่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดสระบุรี และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การระดมทุนในครั้งนี้ จะสนับสนุนให้บริษัท สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนนำมาพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และพันธมิตร

“มั่นใจว่า JAK มีแผนการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ชัดเจน จะสนับสนุนการรับรู้รายได้ของบริษัท ในปี 2564 และในระยะยาว ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาสามารถปิดการขายโครงการได้แล้ว 21 โครงการ และปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 3 โครงการ อีกทั้ง มีโครงการในอนาคตที่มีแผนพัฒนารวมมูลค่าราว 1,422 ล้านบาท ภายหลังการเข้ามาระดมทุน จึงมองว่าจะสนับสนุนฐานะการเงินที่มั่นคง และโอกาสในการสยายปีกโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”

นายวรชาติ กล่าว

นายวรชาติ กล่าวอีกว่า ด้านอัตรากำไรขั้นต้นมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงกว่า 50% ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 – 2562) ถือว่ามีความน่าสนใจ จากความสำเร็จในการเดินหน้าขยายโครงการและการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 69.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.64 ล้านบาท

JAK มีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 1,422 ล้านบาท ได้แก่ เฟิร์น เฟสที่ 2 มูลค่าโครงการ 413 ล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮม ตั้งอยู่ที่ทางหลวงสาย 7 (มอเตอร์เวย์) จ.ชลบุรี, Canna มูลค่าโครงการ 422 ล้านบาท พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ ทาวเฮ้าส์ และบ้านแฝดชั้นเดียว ตั้งอยู่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี (โรงโป๊ะ) และ Peony & Pine (รังสิต) ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพติดรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีปลายทางบางพูน มูลค่าโครงการรวม 587 ล้านบาท เป็นทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียมไม่เกิน 8 ชั้น ทั้ง 3 โครงการคาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จเริ่มส่งมอบและทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/64

ขณะที่ยังมีที่ดินในมือรอการพัฒนาโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จำนวน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 29 ไร่ และที่ดินตั้งอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพโดย JAK มีที่ดินเพียงพอสำหรับการพัฒนาในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ม.ค. 64)

Tags: , , , , , , , , ,
Back to Top