เงินบาทเปิด 29.98/30.00 ต่อดอลล์ แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ รอติดตามประชุมเฟดสัปดาห์นี้

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 29.98/30.00 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดที่ระดับ 29.97 บาท/ดอลลาร์

วันนี้คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยตลาดรอติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในระหว่างวันที่ 26-27 ม.ค.นี้ ซึ่งในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าเฟดจะยังคงไว้ในระดับเดิม เนื่องจากเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบันแล้ว แต่สิ่งที่ตลาดให้ความสนใจ คือ การออกมาให้ความเห็นของประธานเฟดว่าต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหรือไม่ อย่างไร

“นักลงทุนจับตาดูมุมมองของประธานเฟดในการประชุมรอบนี้ ว่าต้องการจะให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือออกมาตรการด้านการคลังเพิ่มเติมหรือไม่”

นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 29.95 – 30.05 บาท/ดอลลาร์

THAI BAHT FIX 3M (22 ม.ค.) อยู่ที่ระดับ 0.31463% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.33507%

ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 103.82/87 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 103.67 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2160/2165 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 1.2173 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 29.976 บาท/ดอลลาร์
  • กูรูแนะนักลงทุนเลี่ยงลงทุนบิทคอยน์เหตุราคาอยู่ในภาวะฟองสบู่ “สตางค์” คาดไตรมาส 1 ปี 64 มีโอกาสราคาร่วงแตะ 2 หมื่นดอลลาร์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เตือนอาจปรับฐานนานหลายเดือน ลั่นไม่แนะเข้าลงทุนช่วงนี้
  • ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่า มีอัตราการขยายตัวดีกว่าคาดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นมา ซึ่งการกลับมาขยายตัวสอดคล้องกับตัวเลขส่งออกของหลายประเทศสำคัญ
  • ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกวันนี้ “เพื่อไทย” ยันมีทีเด็ด หลักฐานชัด สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล แง้มมีข้อมูลทุจริต-เอื้อประโยชน์
  • สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเลื่อนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อลด ผลกระทบของภาคธุรกิจของทั้งสองประเทศ จากภาวะสงครามการค้าที่มีมาก่อนหน้านี้
  • ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกจะแตะระดับ 100 ล้านคนภายในสิ้นเดือนนี้ แต่วัคซีนจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดดังกล่าว
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ได้รับรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของโมเดอร์นา (Moderna) จากผู้ที่ได้รับการวัคซีนจำนวนมากกว่า 1,200 คนเมื่อนับถึงวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยพบผู้เกิดอาการภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลันจำนวน 10 คน

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐประกาศอนุมัติการใช้งานวัคซีนของโมเดอร์นาในกรณีฉุกเฉินเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2563 ซึ่งจะมีการแบ่งฉีดเป็น 2 โดส ห่างกันโดสละ 1 เดือน

  • บริษัทเจพีมอร์แกนเปิดเผยในบันทึกถึงลูกค้าเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า การที่สหรัฐสั่งห้ามนักลงทุนถือครองหุ้นของบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำนั้น อาจส่งผลกระทบต่อพันธบัตรมูลค่ามากถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และจะกระตุ้นให้เกิดกระแสเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรผ่านทางการบังคับขาย
  • คณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐได้ทำการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ในการแต่งตั้งนางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐคนใหม่ และเป็นรมว.คลังหญิงคนแรกของสหรัฐ
  • ไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 58.0 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 55.3 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ
  • สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับ 6.76 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าอาจลดลง 2.0% สู่ระดับ 6.55 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 22.2% ในเดือนธ.ค.

ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และสัญญาณการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก

  • ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. 63 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายรายได้-รายจ่ายส่วนบุคคลและอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก Core PCE Price Index เดือนธ.ค. 63 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค. 64 และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/63 (ครั้งที่ 1) นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามรายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนธ.ค. 63 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยเช่นกัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ม.ค. 64)

Tags: , ,
Back to Top