ศบค.พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 58 ราย ในปท.42-ตรวจเชิงรุก 3-ตปท. 13

  • ศบค.สรุปยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย วันนี้ (11.30 น.)
  • ผู้ติดเชื้อสะสม 28,947 คน (+58)
    • เป็นผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ = 42 ราย
    • เป็นผู้ติดเชื้อจากการตรวจเชิงรุกในชุมชน = 3 ราย
    • เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) = 13 ราย
    • เป็นผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศไม่เข้าสถานที่กักกัน = 0 ราย
  • รักษาหายแล้ว 27,606 คน (+58)
  • รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 1,247 คน
  • เสียชีวิตสะสม 94 คน (+0)

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 58 ราย ประกอบด้วย

  • ผู้ติดเชื้อในประเทศจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 42 ราย พบใน กรุงเทพฯ 19 ราย สมุทรสาคร 14 ราย นนทบุรี 3 ราย สมุทรปราการ 3 ราย ตาก 2 ราย เลย 1 ราย
  • จากการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 3 ราย พบในสมุทรปราการ 2 ราย กรุงเทพฯ 3 ราย
  • ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศผ่านการคัดกรองและเข้าสถานกักกัน 13 ราย จากต้นทางประเทศ สหรัฐฯ 7 ราย อินเดีย 2 ราย ฟินแลนด์ 1 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย เบลเยี่ยม 1 ราย มาดากัสการ์ 1 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศล่าสุดอยู่ที่ 28,947 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 9,759 ราย และการตรวจคัดกรองเชิงรุก 16,073 ราย ส่วนผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 3,115 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้ว 27,606 ราย เพิ่มขึ้น 58 ราย ส่วนยอดเสียชีวิตสะสม 94 ราย

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. เปิดเผยว่า กรมควบคุมโรคได้รายงานไทม์ไลน์นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลที่ติดเชื้อ 1 ราย เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี มีความเชื่อมโยงกับสถานบันเทิงใน จ.นครปฐม โดยมีไทม์ไลน์ ดังนี้

  • วันที่ 20-24 มี.ค.ได้พักอยู่ที่หอ
  • วันที่ 23 มี.ค.ได้ไปเที่ยวสถานบันเทิง ย่านพุทธมณฑลร่วมกับเพื่อน 11 คน
  • วันที่ 25-29 มี.ค.ไปเที่ยว จ.ภูเก็ต กับเพื่อนอีก 9 คน เดินทางโดยสายการบินแอร์เอเซีย เข้าพักที่รีสอร์ท โดยเช่ารถขับ
  • วันที่ 29 มี.ค. เดินทางกลับมาที่กรุงเทพฯ โดยสายการบินแอร์เอเชีย และมารดาขับรถมารับที่สนามบิน
  • วันที่ 30 มี.ค. ขับรถส่วนตัวกลับมาหอพักที่ศาลายา และตอนเย็นไปเล่นแบดมินตันกับเพื่อนอีก 8 คน
  • วันที่ 31 มี.ค. ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย พบเพื่อนประมาณ 50 คน รับประทานอาหารที่โรงอาหาร เดินทางไปดูงานที่กทม. โดยรถส่วนตัว และในวันเดียวกันมาทราบว่า มีพนักงานในสถานบันเทิงติดเชื้อโควิด-19
  • วันที่ 1 เม.ย. เดินทางไปตรวจที่ รพ.รามาธิบดี และพบว่าติดเชื้อ

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้ติดเชื้อใน จ.เลย เป็นผู้หญิง อายุ 29 ปี และรักษาตัวที่ รพ.วังสะพุง จ.เลย โดยพบว่ามีการเชื่อมโยงสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในกทม.เช่นกัน

นพ.ทวีศิลป์ ระบุว่า จากเดิมสิ่งที่ศบค.กังวลใจคือ การพบการติดเชื้ออยู่ในตลาดสด หรือในแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ที่สถานบันเทิงอีกครั้ง จึงฝากให้ผู้ประกอบสถานบันเทิง ประชาชนทุกคร่วมมือกัน อย่าประมาท การ์ดอย่าตก และขอให้มีการฉีดวัคซีนทั้งประเทศให้ถึง 60 % เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันก่อน

นพ.ทวีศิลป์ ชี้แจงถึง กรณีที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์มรณภาพหลังได้รับการฉีดวัคซีนว่า ผู้ช่วยเจ้าอาวาสอายุ 71 ปี มีโรคประจำตัว คือ โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ได้รับการฉีดวัคซีน มีการสังเกตอาการ 30 นาที ซึ่งไม่พบว่ามีปัญหาแค่อย่างใด แต่ได้เสียชีวิตในวันต่อมา ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผลพิสูจน์จากทางโรงพยาบาลตำรวจ

อย่างไรก็ตาม จากการฉีดวัคซีนมาทั้งหมด พบว่า ส่วนใหญ่มีอาการที่ไม่มีความรุนแรง และมีเพียง 4 คนที่มีอาการรุนแรง และเมื่อได้รับฉีดยาแก้แพ้ก็หายเป็นปกติ

สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19 สะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ.-1 เม.ย. รวม 203,650 โดส แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 รวม 166,242 ราย ผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 รวม 37,407 ราย

สำหรับแนวทางการลดวันกักตัวนั้น นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 และต้องนับไป 14 วัน ก่อนเดินทางเข้ามา จึงจะสามารถลดเหลือวันกักตัวเพียง 7 วันแต่ต้องเป็นวัคซีนที่อยู่ในข้อกำหนด เช่น วัคซีนซิโนแวก, ไฟเซอร์, แอสตร้าเซนเนก้า หรือ Johnson & Johnson เป็นต้น

ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนยังไม่ครบ 2 เข็มหรือยังไม่ได้รับวัคซีนจะต้องกักตัว 10 วัน แต่หากเป็นกรณีเดินทางมาจากประเทศที่อาจจะมีการติดเชื้อกลายพันธุ์ยังคงต้องกักตัว 14 วัน เช่น เดินทางมาจากประเทศแอฟริกากลาง แอฟริกาใต้ เป็นต้น

ขณะที่สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ล่าสุดวันนี้ เพิ่มขึ้น 686,498 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวมแล้ว 130,157,191 ราย เสียชีวิต 2,839,987 ราย โดยประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุด อันดับแรก สหรัฐอเมริกา 31,244,639 ราย อันดับสอง บราซิล 12,842,717 ราย อันดับสาม อินเดีย 12,302,110 ราย อันดับสี่ ฝรั่งเศส 4,695,082 ราย และอันดับห้า รัสเซีย 4,554,264 ราย โดยประเทศไทย ยังคงอยู่ในอันดับที่ 116

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 เม.ย. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top