นายกฯ เผยไทยเตรียมแผนหลัก-สำรองแก้โควิด สั่งวัคซีนเพิ่มเผื่อระบาดลากยาว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวผ่านทาง PM PODCAST “เรื่องการเดินหน้าแก้ปัญหาโควิด-19” โดยระบุว่า ไทยกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งตนได้สั่งการและออกมาตรการทันที ทั้งการดำเนินการด้านสาธารณสุข และการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยเร่งแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การตัดสินใจแก้ไขปัญหาสถานการณ์โดยรวดเร็ว และการทำงานแบบบูรณาการ คือ อาวุธที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้กับโควิด ที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงได้มีมติให้มีการโอนอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับ มายังนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจสั่งการโดยตรง เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ต้องคำนึงกฎหมายหลัก และกฎหมายรองของแต่ละทรวงด้วย พร้อมทั้งขอบคุณทุกกระทรวงและทุกหน่วยงาน ที่ทำงานร่วมกันมาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และเพื่อให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้ มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดมา ซึ่งเป็นสถานเดียวกันกับที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่

ทั้งนี้ ในส่วนของการแพร่ระบาดที่คลัสเตอร์คลองเตย ตนได้ติดตามสถานการณ์เป็นพิเศษ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานระดมสรรพกำลังในการช่วยเหลือ ควบคุมการแพร่ระบาด โดยใช้ประสบการณ์โมเดลจากสมุทรสาครมาปรับใช้ในการตรวจเชื้อ ติดต่อ คัดกรอง แยกตัว ส่งต่อ และรักษา โดยเน้นการตรวจเชิงรุกให้ได้อย่างน้อย 1,000 คนต่อวัน โดยมีหน่วยเคลื่อนที่และรถตรวจหาเชื้อพระราชทาน เพื่อตรวจเชื้อให้ได้ทั้งหมด 2 หมื่นคน จากนั้นจะดำเนินการแยกผู้ป่วยตามลำดับอาการ เพื่อส่งต่อการรักษา

พร้อมกับจะมีการระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในพื้นที่คลองเตย ดำเนินการการตรวจหาเชื้อ 700 คนต่อวันแล้ว ขณะที่การระบาดในคลัสเตอร์อื่นๆ ก็จะเร่งตรวจเชิงรุกให้มากที่สุด

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการแก้ปัญหาสำรองเตียงผู้ป่วยอาการหนักใน กทม.และปริมณฑล ซึ่งขณะนี้แม้จะมีเตียงเพียงพอ แต่ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ และเตรียมขยายเพิ่มเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนัก เช่น ได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนาม ที่ทุ่งครุ โดยเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยหนักถึง 432 เตียง และย้ำการปฎิบัติงานไปยังกระทรวงสาธารณสุขว่าจะต้องลดการสูญเสียให้มากที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ไทยมียาพาวิฟิราเวียร์ ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเพียงพอ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น โดยมีสต๊อกที่ 1.5 ล้านเม็ด และปัจจุบันได้กระจายไปยังทั่วประเทศ และในเดือนนี้จะได้รับยาอีก 3 ล้านเม็ด ดังนั้น ขอทุกคนอย่ากังวลในเรื่องนี้ ส่วนยาอื่นๆ ก็ให้พิจารณาในการใช้ เพื่อให้เปิดประโยชน์สูงสุด

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า การแพร่ระบาดโควิด 19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ จึงตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในกทม.และปริมณฑล เพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ซึ่งศูนย์ดังกล่าว จะสามารถเป็นแนวทางแก้ปัญหาให้กับจังหวัดอื่นๆ ได้ และย้ำว่าการที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยกันแก้ปัญหา และมีคณะแพทย์ที่คอยเป็นที่ปรึกษาและเสนอแนะในการแก้ไข

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อดูจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก เตือนให้เห็นว่าโควิด-19 ไม่น่าจะสามารถแก้ปัญหาได้โดยเร็ว ประเทศไทยจึงต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตนได้สั่งการให้จัดหาวัคซีนไว้มากกว่านี้ 150 ล้านโดส เพื่อเตรียมการรับความเสี่ยงในปีหน้าด้วย

“ระยะต่อไป เราต้องมีแผนสำรองไว้ตลอดเวลา เราต้องมีวัคซีนให้เพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศเรามีผู้ใหญ่ 60 ล้านคน เท่ากับว่าเราต้องมีวีคซีน 120 ล้านโดส นอกจากนั้น เราต้องมีวัคซีนเผื่อความเสี่ยงอื่นๆ ด้วย อาจถึง 150 ถึง 200 ล้านโดสในระยะถัดไป แต่ต้องคำนึงอายุการใช้งานของวัคซีน และสถานการณ์ในปีหน้าด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

รวมถึงเตรียมวัคซีนเข็มที่ 3 ในการป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์ รวมถึงการส่งมอบวัคซีนที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีฐานผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในประเทศ แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยง จึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขเจรจาผู้ผลิตวัคซีนอีกหลายราย นอกเหนือจาก 7 บริษัทที่ได้พูดคุยไว้ ซึ่งทุกอย่างต้องปฎิบัติตามระเบียบและกฎเกณฑ์การสั่งซื้อวัคซีน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดไทยจะได้รับวัคซีนมาอีก 3.5 ล้านโดสเดือนนี้ จากนั้นก็จะปรับแผนการกระจายวัคซีน โดยเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนให้ได้มากที่สุด เพราะทางการแพทย์เชื่อว่า แม้ฉีดเข็มแรกก็ช่วยลดโอกาสรับเชื้อบรรเทาอาการต่างๆ ลงได้ ซึ่งจะเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชน โดยคาดว่าภายในเดือน ก.ค. จะมีประชากรผู้ใหญ่ครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ค. 64)

Tags: , , ,
Back to Top