บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าของอังกฤษประกาศในวันอังคาร (15 มิ.ย.) ว่า การทดลองรักษาโรคโควิด-19 ด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอล (monoclonal antibody therapy) นั้น ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายหลักในการป้องกันและรักษาอาการป่วยในผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวได้ทำลายความหวังเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ให้กับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
แอสตร้าฯประกาศว่า AZD7442 ซึ่งเป็นยาป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 แบบแอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอลนั้น ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการได้แค่เพียง 33% เท่านั้นในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดซึ่งรวมถึงผู้ที่ได้รับการตรวจเชื้อเป็นลบหลังการสัมผัสติดต่อกับผู้ติดเชื้อ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก ซึ่งแอสตร้าฯถือว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ทั้งนี้ แอสตร้าฯได้รวบรวมข้อมูลดังกล่าวจากการทดลองระยะที่ 3 ของบริษัทซึ่งทำการทดลองกับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และเป็นผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าได้สัมผัสติดต่อกับบุคคลที่ติดเชื้อโควิด-19 ภายในช่วง 8 วันก่อนหน้าเข้าร่วมการทดลอง
อย่างไรก็ตาม ยา AZD7442 มีประสิทธิภาพถึง 92% ในการป้องกันโรคโควิด-19 แบบแสดงอาการ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในกลุ่มผู้ร่วมทดลองที่มีผลตรวจเชื้อเป็นลบหลังจากที่สัมผัสติดต่อกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งบ่งชี้ว่า ยา AZD7442 อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ
แอสตร้าฯระบุว่า ทางบริษัทจะยังคงดำเนินการทดลองยา AZD7442 ในการทดลองอื่นๆ ต่อไป
ด้านดร.ไมรอน เจ. เลวิน ผู้วิจัยหลักของการทดลองกล่าวว่า ยา AZD7442 อาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการเฉพาะในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ และระบุเสริมว่า “ขณะที่ความพยายามในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ประสบผลสำเร็จนั้น แต่ก็ยังคงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีทางเลือกอื่นในการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 สำหรับประชากรบางกลุ่มซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ หรือผู้ที่อาจมีการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันที่ไม่เพียงพอจากการฉีดวัคซีน”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 64)
Tags: AstraZeneca, AZD7442, COVID-19, วัคซีน, วัคซีนต้านโควิด-19, แอนติบอดี, แอนติบอดีชนิดโมโนโคลนอล, แอสตร้าเซนเนก้า, โควิด-19, ไมรอน เจ. เลวิน