นายกฯ เรียกอธิบดีกรมปศุสัตว์พบด่วนติดตามแก้ปัญหาโรค ASF แนะตั้งวอร์รูมชี้แจงประชาชน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้นสพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เข้าพบเพื่อติดตามการแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร หลังจากที่ไทยมีการประกาศพบเชื้อโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในประเทศไทย

นายกรัฐมนตรี ได้มอบแนวทางการแก้ปัญหาหมู โดยขอให้เร่งตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรเจ้าของฟาร์มผู้เสียหายให้ครอบคลุมทั้งรายย่อยและรายใหญ่ โดยให้ประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงมหาดไทย องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และให้กรมปศุสัตว์ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพการเลี้ยงสุกร ทั้งโรงฆ่าสัตว์ และเขียงหมูโดยเร็ว รวมทั้งให้ปศุสัตว์จังหวัดและสัตวแพทย์ ติดตามพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค เพื่อสอบสวนสาเหตุและเร่งรักษาตามสาเหตุอาการตั้งแต่แรก

ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้ผู้เลี้ยงหมู ในการป้องกันเบื้องต้น ระหว่างที่ยังต้องรอผลการวิจัยและพัฒนาวัคซีน รวมทั้ง เปิดรับช่องทางแจ้งการเกิดโรคให้ได้โดยเร็ว เพื่อแก้ไขและลดความเสียหายเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู อีกทั้งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเยียวยาด้วย

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังสั่งการกรมปศุสัตว์ เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบริหารจัดการความต้องการสุกรในภาพรวม เร่งสำรวจปริมาณความต้องการประชาชนต่อการบริโภคและใช้เนื้อหมูในประเทศ รวมทั้งปริมาณการส่งออก ขณะเดียวกัน ก็เร่งศึกษาความจำเป็นในการนำเข้าเนื้อหมูชั่วคราวและการจัดหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ผลิตลูกหมูเพิ่มเติมในระบบ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการทุกอย่างให้ครบเพื่อลดความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู รวมทั้งปัญหาหมูราคาแพง พร้อมแนะอธิบดีกรมปศุสัตว์ จัดตั้ง Warroom สื่อสารชี้แจงการทำงานเพื่อแก้ปัญหาหมูแพงและโรคระบาดทุกวัน เพื่อประชาชนและสื่อมวลชนได้รับทราบ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายด้วย

ด้านนสพ.สรวิศ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ช่วยกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาโรค ASF และเน้นย้ำควบคุมโรคให้ดีและสงบโดยเร็ว และให้ผู้เลี้ยงสุกรเดินหน้าได้โดยเร็ว และให้ร่วมมือทำงานกับทุกภาคส่วน รวมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จราว 8-12 เดือน

ส่วนกรณีนายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ไม่ทราบจำนวนหมูหายไปจากระบบได้อย่างไรนั้น อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้หมูไม่ได้หายไปไหนแต่ถือเป็นไปตามระบบ เนื่องจากตามพ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ ถ้ามีการแจ้งมาจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและมีการเก็บตัวอย่างมาตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ ที่มีสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติและศูนย์วิจัยพัฒนาสัตว์แพทย์ทั้ง 8 แห่งทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำรวจจำนวนสุกรว่ามีจำนวนเท่าไหร่ โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาช่วยเหลือ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีให้มีการสำรวจเสียหาย โดยได้ชี้แจงว่า ตัวเลขในการเคลื่อนย้ายสัตว์ขณะนี้อยู่ที่ 20% ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่อยู่ที่ 60% รวมถึงให้สำรวจความเสียหายผู้เลี้ยงรายย่อย ซึ่งการที่หมูแพงไม่ได้เกิดจากโรคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูที่ต้นทุนทั้งเรื่องพันธุ์สัตว์และอาหารสัตว์ ซึ่งยอมรับว่า วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ สำหรับการเยียวยาจะเน้นไปที่ผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาด ก่อนหน้านี้ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการระดมทุนมาช่วยผู้ประกอบการรายย่อย 100 ล้านบาท หลังจากนั้นจึงมาขอความร่วมมือจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลช่วยเหลือและไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งการให้งบประมาณตั้งแต่ต้นถึง 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่นำไปดำเนินการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ส่วนการช่วยเหลือเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่ภาครัฐไม่ได้ช่วยเหลือ

พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการรายย่อยที่จะกลับมาเลี้ยงใหม่ ต้องมีการยกระดับการเลี้ยงหมูให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพตามที่กรมปศุสัตว์ตั้งเกณฑ์ Good Farming Management (GFM) คือ ต้องป้องกันโรคได้ ไม่ต้องใช้เงินเยอะ เช่น มีการใช้ยาฆ่าเชื้อหรือตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยผู้บริโภค โดยกรมปศุสัตว์ได้เสนอเงินไปยังสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อยกระดับตรงนี้ เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยกว่า 1 แสนราย ขณะนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์จะช่วยเกษตรกรรายย่อยด้วยการผลิตสุกรขายในราคาถูก

พร้อมระบุว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกษตรกรถูกข่มขู่หลังจากมาเปิดเผยข้อมูล และคงเป็นไปไม่ได้

อธิบดีกรมปศุสัตว์ ย้ำว่า ไม่ถอดใจในการทำงาน เพราะที่ผ่านมาตนเองได้แก้ปัญหาโรคระบาดในม้า โรคลัมปีสกีนจนตอนนี้แทบไม่มีแล้ว และล่าสุดโรคระบาด AFS ในสุกร ซึ่งเกิดมาร้อยปี แต่ยังไม่มีวัคซีน การควบคุมต้องบูรณาการร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตร เข้าใจและให้กำลังใจในการทำงานให้สำเร็จลุล่วงต่อไป

ด้านนสพ.กิจจา อุไรรงค์ คณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจง กรณีที่จ.นครปฐมพบโรค ASF ในหมูมา 2 ปีแล้วว่า เรื่องนี้เมื่อประกาศเป็นโรคระบาดอย่างเป็นทางการ มาตรการที่เราต้องดำเนินการจากนั้น เป็นเรื่องการฟื้นฟูอุตสาหกรมเลี้ยงสุกรให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นเหมือนเดิม และต้องรอประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบันแนวทางที่แก้ปัญหา คือ จะต้องควบคุมการระบาดและฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรให้กลับมาได้โดยเร็ว โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการเป็นหลัก แต่ไม่ให้เดือดร้อนผู้เลี้ยงและผู้บริโภคให้มากที่สุด ส่วนเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้จะต้องไม่พูดถึงแล้ว

ส่วนราคาหมูที่ปรับสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย แต่เชื่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ พร้อมย้ำว่า โรคระบาดในสุกรไม่ได้ก่อโรคในคนหรือสัตว์อื่น เนื้อหมูยังบริโภคได้ปกติ แต่เน้นการปรุงสุกและไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นอย่าตื่นตระหนก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ม.ค. 65)

Tags: , , , , , , , , , , , ,
Back to Top