วิจัยกรุงศรี ชี้ผลสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ-ความไม่แน่นอนศก.ไทย

วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอน ฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลเงินเฟ้อไทยสูงขึ้นมากกว่าคาด

โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนม.ค. ได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนจากการขยายตัวของปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ และปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ รวมถึงภาคท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอน บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง

อย่างไรก็ดี แม้ในช่วงต้นปีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจชะลอลงบ้าง จากการระบาดของไวรัสโอมิครอน แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการพยุงกำลังซื้อประชาชน และกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชนได้รับผลบวกจากการส่งออกที่ยังขยายตัว แต่อาจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการดำเนินการของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการขาดแคลนแรงงานในภาคก่อสร้าง ส่วนการบริโภคภาครัฐมีแนวโน้มหดตัวจากปีก่อน สอดคล้องกับวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี และแผนการใช้จ่ายตามพ.ร.ก.เงินกู้ที่คงเหลือหลังจากใช้ไปจำนวนมากในปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่ปะทุขึ้น หากสถานการณ์ไม่ลากยาวจนส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าผลกระทบทางตรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะไม่มาก เนื่องจากไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซียและยูเครนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.52% และ 0.07% ของมูลค่าการค้ารวม ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ขยับขึ้นสู่ระดับสูงในรอบหลายปี จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปีนี้มีแนวโน้มที่จะเร่งขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาอยู่ที่ 2.7% จากเดิม 2.0%

วิจัยกรุงศรี ระบุว่า ในส่วนของประเทศไทย ทางการผ่อนคลายมาตรการ Test & Go เพิ่มเติม เพื่อหนุนการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดรัสเซียกับยูเครน โดยจากการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจโควิด-19 (ศบค.) วันที่ 23 ก.พ. 65 มีมติปรับปรุงมาตรการเดินทางเข้าประเทศตามนโยบาย Test & Go เพื่อช่วยสนับสนุนและเอื้อต่อการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ

  1. เพิ่มช่องทาง Test & Go ทางบกในจังหวัดที่กำหนด (หนองคาย อุดรธานี และสงขลา) และทางน้ำ (เฉพาะเรือยอชต์)
  2. ยกเลิกการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR สำหรับครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 ที่เดินทางเข้าประเทศ ให้ปรับมาเป็นตรวจด้วยวิธี Antigen Test Kit (ATK) แทน และ
  3. ปรับลดวงเงินประกันสุขภาพจาก 50,000 ดอลลาร์ เป็นไม่น้อยกว่า 20,000 ดอลลาร์ เป็นต้น ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 65

อย่างไรก็ดี หลังจากไทยมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศด้วยมาตรการ Test & Go ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 หนุนให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมกว่า 3 แสนคน ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีก่อน และล่าสุดเดือนม.ค. มีจำนวน 133,903 คน ทั้งนี้ การปรับปรุงมาตรการดังกล่าวจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่นักเดินทาง

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อาจกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยว โดยรัสเซียนับเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยมากสุดติด 1 ใน 5 อันดับแรกตั้งแต่ไทยกลับมาเปิดประเทศ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เดินทางมาเอง (Foreign Individual Tourism: FIT) และเป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง ส่วนตลาดยูเครน ยังมีเพียงเล็กน้อยและเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยแบบเช่าเหมาลำ โดยหากสถานการณ์มีความรุนแรงแผ่ลามกว้างขึ้นในยุโรป จนกระทบต่อเส้นทางการบินจะเพิ่มความลำบากในการเดินทางของนักท่องเที่ยว การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าวได้

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก การบุกยูเครนของรัสเซียเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อโลก หากสถานการณ์รุนแรงจะกระทบการฟื้นเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะยุโรป รัสเซียเข้าโจมตีกรุงเคียฟและอีกหลายเมืองของยูเครน ด้านสหรัฐฯ อังกฤษ และสหภาพยุโรปได้ประกาศคว่ำบาตรโดยห้ามทำธุรกรรมด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงและธนาคารบางแห่งของรัสเซีย โดยล่าสุดสหรัฐฯ และพันธมิตรเตรียมตัดธนาคารบางแห่งของรัสเซียออกจากระบบชำระเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT) ด้าน NATO ยืนยันว่าจะไม่ส่งกำลังทหารเข้าไปในยูเครนเนื่องจากมิได้เป็นสมาชิก NATO

ทั้งนี้ การโจมตียูเครนของรัสเซียส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรทวีความรุนแรง ราคาน้ำมันดิบพุ่งเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงสุดในรอบหลายปีนับตั้งแต่ปี 57 โดยความตึงเครียดดังกล่าวกระทบราคาพลังงาน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และยังเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับ 2 ของโลก โดยส่งออกก๊าซไปยังยุโรปผ่านทางท่อส่งในยูเครน นอกจากนี้ รัสเซียและยูเครนยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ เช่น ข้าวสาลี และข้าวโพด

ดังนั้น วิจัยกรุงศรี ประเมินในเบื้องต้นว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ กดดันกำลังซื้อ ต้นทุนการผลิต และสร้างความยากลำบากในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ แต่หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง อาจส่งผลต่อภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนไมโครชิพ เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตก๊าซนีออนและแร่พัลลาเดียมซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ภาวะสงครามและการคว่ำบาตรที่รุนแรง อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะยุโรป ซึ่งเชื่อมโยงอย่างมากกับรัสเซีย ทั้งในแง่พลังงาน ภาคเศรษฐกิจ และภาคการเงิน

ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ โตต่อเนื่องท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ปัญหาความตึงเครียดในยูเครนอาจกระทบการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในเดือนม.ค. ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เพิ่มขึ้น 5.2%YoY สูงสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่การใช้จ่ายส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 2.1%MoM สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 64 ส่วนในเดือนก.พ. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัด ซื้อรวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้น (Flash PMI) ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนสู่ระดับ 56.0 ล่าสุดจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 19 ก.พ. แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มการแพร่ระบาดที่ 1.48 ล้านราย

นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีสัญญาณบวกในตลาดแรงงาน และการปรับตัวดีขึ้นของภาคการผลิตและภาคบริการโดย Flash PMI ล่าสุดฟื้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน หลังการระบาดของโอมิครอนคลี่คลาย ขณะที่แรงกดดันด้านราคายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้อาจหนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตาม หากวิกฤตในยูเครนรุนแรงขึ้นจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว อาจกดดันการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยของเฟดหลังเดือนมี.ค.

“สัญญาณกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจจีน อาจเผชิญความไม่แน่นอน จากมาตรการควบคุมบริษัทด้านเทคโนโลยี ในเดือนม.ค. ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น 0.9%YoY เติบโตอีกครั้งในรอบ 9 เดือน ขณะที่ราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 0.1%MoM กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย. 64”

วิจัยกรุงศรี ระบุ

สำหรับข้อมูลล่าสุด บ่งชี้สัญญาณปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคเอกชน และภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ภายหลังจากทางการจีนทยอยออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนจากปัญหาสภาพคล่องของผู้ประกอบการอสังหาฯ โดยล่าสุดบริษัทเฉินโร อาจผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ ที่มีกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค. นี้

ขณะเดียวกัน ทางการจีนยังส่งสัญญาณว่าจะออกมาตรการควบคุมธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์สของเทนเซนต์ ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีและตรวจสอบธุรกรรม ซึ่งเกี่ยวโยงกับบริษัทแอนท์กรุ๊ปในเครืออาลีบาบา ปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาว แต่อาจกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะนี้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 มี.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top