WHAUP เป้าปี 69 รายได้-ส่วนแบ่งกำไรฯแตะ 6 พันลบ.เล็ง M&A พลังงาน-Green Field

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 69 แตะระดับ 6,000 ล้านบาท และรักษาอัตรา EBITDA ในระดับสูงกว่า 50% จากการเติบโตของธุรกิจหลักทั้งน้ำและไฟฟ้า จากการขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าสูง อาทิ น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) โดยจะมีการหาสินค้าและบริการใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการในรูปแบบ One-Stop-Service

บริษัทวางเป้าหมายให้บริการธุรกิจ Green Power เพิ่มขึ้น จากที่ผ่านมา WHAUP ลงทุนให้บริการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าพอร์ตรวมของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า Solar Rooftop (Private PPA) แตะ 150 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ไม่ต่ำกว่า 115 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือจะทยอย COD ในปีถัดไป

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุน (M&A) ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโครงการประเภท Green Field โดยการนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไปต่อยอดการลงทุนต่อไป

ด้านนายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ WHAUP เปิดเผยว่า บริษัทมีการพัฒนาและดำเนินโครงการต่างๆ ผ่านการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงาน

โดยธุรกิจสาธารณูปโภค ในปีนี้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวม 153 ล้าน ลบ.ม.หรือเติบโต 13% จากปีก่อน ด้วยแนวโน้มการเติบโตของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้วยการจำหน่ายน้ำ Conventional ไม่ว่าจะเป็นน้ำดิบ หรือน้ำอุตสาหกรรมทั่วไป

ในขณะเดียวกันยังเน้นการจำหน่ายน้ำประเภท Value-Added Product ไม่ว่าจะเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ที่ได้จากกระบวนการนำน้ำเสียมาบำบัด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยในช่วงไตรมาส 3/65 จะมีการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับโรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าโรงไฟฟ้า SPP ของกลุ่ม GULF ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี

ส่วนการเติบโตนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอนั้นได้มีการเซ็นสัญญาร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับผลิตและจำหน่ายน้ำประเภท Value – Added Product  ให้กับลูกค้าที่เป็นโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยเฟสแรกที่มีกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านลบ.ม. ต่อปี คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/65

นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการลงทุนในการจัดหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกอื่นๆ อาทิ การขุดอ่างเก็บน้ำเพิ่ม เพื่อลดการพึ่งพาการจัดซื้อน้ำดิบจากผู้จำหน่ายหลัก รวมถึงเป็นการลดต้นทุนในการจัดหาน้ำดิบด้วย โดยตั้งเป้าเพิ่ม capacity ของแหล่งน้ำดิบทางเลือกอีกอย่างน้อย 11 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี

ขณะที่โครงการที่ประเทศเวียดนามยังมีการขยายการลงทุนต่อเนื่องทั้งด้านสาธารณูปโภคในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟสที่ 2 ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/65 หลังจากเฟสที่ 1 พัฒนาแล้วเสร็จ และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าภายในเขตอุตสาหกรรมเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับโครงการประปา SDWTP และ Cua Lo ที่จะมีการลงทุนในส่วนของท่อเพิ่มเพื่อขยายการบริการแก่ลูกค้าเช่นกัน

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมการสู่อนาคตสำหรับธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานอัจฉริยะ เพื่อซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ หรือ ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer Energy Trading ภายใต้ชื่อว่า “RENEX” ด้วยการใช้เทคโนโลยี Blockchain ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายในการทดลองให้บริการซื้อขายเชิงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นภายในไตรมาส 3/65  ซึ่งระบบการซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนุนให้พอร์ตพลังงานหมุนเวียนของบริษัท โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเป็น Clean Energy Trader ในโครงการทดลองนำร่องดังกล่าวมากกว่า 23 ราย

พร้อมกันนี้ยังมีการนำ Battery Energy Storage System (BESS) หรือระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเสนอเป็นบริการให้แก่ลูกค้า รวมถึงการศึกษาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Microgrid เพื่อยกระดับระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม ต่อยอดธุรกิจ Renewable Energy และสร้าง Business Model ใหม่ให้กับบริษัท

นายประพนธ์ ชินอุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารการเงิน WHAUP กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 5 ปี (65-69) ที่ 10,000 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนสำหรับปี 65 ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนในธุรกิจน้ำ ราว 1,000 ล้านบาท และ ไฟฟ้า ราว 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากทั้งเงินกู้จากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.9 เท่า ต่ำกว่าเพดานที่เจ้าหนี้กำหนดไว้ที่ 2.5 เท่าค่อนข้างมาก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินแล้วยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทที่สามารถกู้เงินเพิ่ม เพื่อรองรับการมองหาโอกาสในการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาโครงการใหม่ๆ (Green field) การเข้าซื้อกิจการ (M&A) การร่วมทุน (Joint Venture) การขยายการลงทุนในและนอกนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ

สำหรัยทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/65 จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นทั่วโลก เป็นปัจจัยหนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้ภาคการผลิตกลับมา ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังได้รับการสนับสนุนให้มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ทำให้จำนวนโรงงานเติบโตขึ้น เป็นหนุนให้ความต้องการใช้พลังงานและสาธารณูปโภคเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มิ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top