กลุ่มการแพทย์ลบสวนตลาดคาดรายได้หด YoY-QoQ หลังโควิดจางไป-รับผลกระทบสต็อกวัคซีน

กลุ่มการแพทย์ลบ 0.45% สวนตลาด SET บวก 0.20% รับโควิด-19 คลี่คลายลงส่งผลให้รายได้จากการรักษาลดลง และอาจมีผลกระทบจากการสต็อกวัคซีน

เมื่อเวลา 11.09 น. BCH ปรับลง 0.54% หรือลดลง 0.10 บาท มาที่ 18.30 บาท

CHG ปรับลง 0.57% หรือลดลง 0.02 บาท มาที่ 3.48 บาท

THG ปรับลง 0.37% หรือลดลง 0.25 บาท มาที่ 67.00 บาท

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ภาพการดำเนินงานหลักของหุ้นหลักในกลุ่มโรงพยาบาล ทั้ง บมจ.บางกอก เชน ฮอลปิทอล (BCH) ,บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) และ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) โดยที่รายได้โดยรวมลดลง YoY และ QoQ จากการลดลงของผู้ป่วย Covid-19

ขณะที่ BCH คาดว่าจะบันทึกการขาดทุนจากวัคซีนหมดอายุที่เหลืออยู่ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลกำไรแล้ว จึงเห็น downside 0.4 บาทต่อหุ้น จากคาดการณ์ของเราในปี 65 สำหรับ BCH ในทางกลับกัน วัคซีนโควิดของ CHG และ THG ทั้งหมดมีผู้ซื้อแล้ว และรายได้จะถูกบันทึกใน H2/65

บล.ทิสโก้ คาดว่า BCH จะรายงานขาดทุนไตรมาส 3/65 ที่ (-301 ล้านบาท) พลิกกลับจากกำไรไตรมาส 3/64 ที่ 2,896 ล้านบาท และกำไรไตรมาส 2/65 ที่ 1,144 ล้านบาท การขาดทุนเกิดขึ้นจากคาดการณ์ของเราว่า BCH จะรายงานผลขาดทุนก่อนหักภาษี 1,210 ล้านบาทสำหรับวัคซีนที่ขายไม่ออกทั้งหมด หากไม่ได้ถูกบันทึกในไตรมาส 3/65 ก็น่าจะเป็นในไตรมาส 4/65

แต่หากไม่รวมการขาดทุนวัคซีนดังกล่าว คาดว่า BCH จะรายงานกำไร 644 ล้านบาท ลดลง 78% YoY และ 44% QoQ คาดว่ารายรับรวมจะลดลง 57% YoY และ 38% QoQ จากรายได้ที่ลดลงจากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่จ่ายโดย NHSO, SSO และผู้ป่วยเงินสด อัตรากำไร EBITDA โดยรวมในไตรมาส 3/65 คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติที่ 32.4%

ส่วน CHG กำไรสุทธิลดลงเมื่อ Covid จางหายไป รับการรักษาผู้ป่วย non-Covid โดยคาดว่าจะรายงานกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 500 ล้านบาท ลดลง 68% YoY และ 43 QoQ คาดว่ารายได้จะลดลง 44% YoY หรือ 12% QoQ แต่คาดว่า CHG จะเห็นการลดลงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ BCH เนื่องจาก CHG ให้บริการสัดส่วนของผู้ป่วย Covid น้อยกว่า

สำหรับการดำเนินงานส่วนอื่น คาดว่ารายได้ของผู้ป่วย A-Class สำหรับ IPD และ OPD รวมถึงรายได้จากลูกค้าประกันสังคม (SSO) จะเพิ่มขึ้นจากความเชื่อมั่นของผู้ป่วยชาวไทย และจำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดย EBITDA Margin ลดลง 30.3% จากไตรมาส Covid แต่สูงกว่าช่วงก่อน Covid 140bps

ขณะที่ THG ยอดขาย Jin แข็งแกร่ง บวกการรับรู้รายได้จากการขายวัคซีน โดยคาดว่า THG จะรายงานกำไรไตรมาส 3/65 ที่ 249 พันล้านบาท ลดลง 70% YoY และ 37% QoQ โดยคาดว่ากลุ่มโรงพยาบาลจะขายวัคซีนได้ประมาณ 600 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของวัคซีนโควิดที่ยังไม่ถูกใช้ หากไม่รวมการขายวัคซีน รายได้คาดว่าจะลดลง 47% YoY และ 16% QoQ และคาดว่า Jin Wellbeing จำนวน 30 ยูนิต จะขายได้ในไตรมาส 3 ลดลงเล็กน้อยจากยอดขายในไตรมาส 2 ที่ 32 ยูนิต แต่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับยุค Covid และ THG คาดว่าจะบักทึกกำไร 60 ล้านบาท จากการขายที่ดิน 200 ล้านบาท และสุดท้ายอัตรา EBITDA น่าจะถูกบีบลง QoQ จากการขายวัคซีนที่มีอัตรากำไรที่ต่ำ

ทั้งนี้ ประเมินมูลค่ากลุี่มโรงพยาบาลภายใต้การวิเคราะห์ของเราโดยใช้ 2023F EV/EBITDA ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การฟื้นตัวเร็วเกินคาดในผู้ป่วยต่างประเทศ และผลประโยชน์ทางการตลาดที่สูงกว่าที่คาดจากผู้ป่วยชาวไทย ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญคือ การชะลอตัวของผู้ป่วยต่างประเทศ อัตรากำไร EBITDA ที่อ่อนแอกว่าที่คาดจากต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรที่เกิดขึ้น การแข่งขันที่รุนแรงระหว่างโรงพยาบาลในประเทศ และการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว เราแนะนำ BDMS สำหรับกลุ่ม Healthcare เราแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 35.00 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top