หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งตัวลงตามต่างประเทศตอบรับ ปธ.เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยยาว

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยยาวต่อเนื่องในปี 66 ทำให้มีการปรับ Dot plot ดอกเบี้ยสหรัฐฯขยับสูงขึ้น แต่มองเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น โดยระยะยาวยังมีปัจจัยเฉพาะในประเทศหนุน พร้อมให้แนวต้าน 1,635 และ 1,640 จุด แนวรับ 1,615 และ 1,620 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งตัวลงตามตลาดหุ้นเอเชียที่ลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่ประธานเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและยาวไปในปี 66 ทำให้มีการปรับ Dot plot ดอกเบี้ยสหรัฐปีหน้าสูงขึ้นไปที่ 5.1% ส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าประเด็นดังกล่าวตลาดรับรู้ไปค่อนข้างมากแล้ว จึงอาจจะเป็นแค่ผลกระทบในระยะสั้น เพราะภาพรวมของปัจจัยเฉพาะในประเทศที่ดีขึ้นยังมีโอกาสช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยให้ไปต่อได้

ให้แนวต้าน 1,635 และ 1,640 จุด แนวรับ 1,615 และ 1,620 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (14 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,966.35 จุด ลดลง 142.29 จุด หรือ -0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,995.32 จุด ลดลง 24.33 จุด หรือ -0.61% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,170.89 จุด ลดลง 85.93 จุด หรือ -0.76%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,991.14 จุด ลดลง 165.07 จุด หรือ -0.59%, , ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,612.67 จุด ลดลง 60.78 จุด หรือ -0.31% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,177.20 จุด เพิ่มขึ้น 0.67 จุด หรือ +0.02%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ธ.ค.65) 1,633.36 จุด เพิ่มขึ้น 7.45 จุด, +0.46%

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,344.73 ลบ.เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. (14 ธ.ค.)เพิ่มขึ้น 1.89 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 77.28 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ธ.ค.) อยู่ที่ 9.19 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 34.63 อ่อนค่า หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ให้กรอบวันนี้ 34.50-34.80

– เฟทโก้” ชี้ปี 66 หวังภาคท่องเที่ยว หนุนประเทศไทยพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย พบนักลงทุนสนใจลงทุน เหตุราคาหุ้นปรับตัวขึ้นช้า-ไฮซีซัน ผู้ว่าการ ททท.ลุ้นจีนเข้าไทยช่วงตรุษจีน พร้อมรุกตลาดใหม่ “อินเดียรัสเซีย-ซาอุดีอาระเบีย” ดันยอดนักท่องเที่ยว ปีหน้าตามเป้า 20 ล้านคน สร้างรายได้ 2.38 ล้านล้าน

– ผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยปี’65 เปิดขายเฉียด 2 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 9.8 แสนล้าน บ้านจัดสรรบูม คอนโดแผ่ว สต๊อกบวม เปิด 5 โซนขายดี ฟันธงปี’66 แนวราบดาวรุ่ง

– เวิลด์แบงก์ หั่นจีดีพีไทยปี 2566 เหลือ 3.6% หวั่นเศรษฐกิจโลกชะลอทุบอุปสงค์สะดุด กระทบส่งออกไทยหนัก มองเศรษฐกิจไทยเดินหน้าฟื้นตัว แต่รั้งท้ายภูมิภาค เหตุพึ่งพาแค่การท่องเที่ยว สวนทางด้าน “สภาพัฒน์” เผยไตรมาส 3/65 ท่องเที่ยวคึกคัก หนุนการจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่วนอัตราการว่างงานลดลง

– รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานปรับราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี) สำหรับรถยนต์ทั่วไปปรับขึ้น 1 บาท/กิโลกรัม (ก.ก.) เป็น 17.59 บาท/ก.ก. จาก 16.59 บาท/ก.ก. ส่วนรถแท็กซี่ในโครงการเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกันให้ขอความอนุเคราะห์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คงราคาขายปลีกเอ็นจีวีไว้ที่ 13.62 บาท/ก.ก. ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 2565-15 มี.ค. 2566 คิดเป็นวงเงินช่วยเหลือของ ปตท. ประมาณ 2,682 ล้านบาท แบ่งเป็นรถยนต์ทั่วไป 2,407 ล้านบาท และรถแท็กซี่ 275 ล้านบาท

– สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไตรมาส 3 ปีนี้ ที่พบความเคลื่อนไหวสำคัญ ได้แก่ ด้านแรงงาน ที่ค่าจ้างแรงงานปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างที่แท้จริงหดตัว โดยค่าจ้างแรงงานภาคเอกชน และภาพรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 13,751 และ 15,213 บาทต่อคนต่อเดือน เพิ่มสูงขึ้น 5.3% และ 3.8% ตามลำดับ และขยายตัวต่อเนื่อง แต่ผลของเงินเฟ้อทำให้ค่าจ้างที่แท้จริงหดตัวลง ซึ่งค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานภาคเอกชนหดตัว 1.7% และค่าจ้างที่แท้จริงในภาพรวมหดตัว 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าแม้ค่าจ้างสูงขึ้น แต่ไม่ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานเพิ่มขึ้น

หุ้นเด่นวันนี้

– บมจ.ดี.ที.ซี.เอ็นเตอร์ไพรส์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ “DTCENT” ในวันที่ 15 ธันวาคม 2565 โดยราคาหุ้นละ 2.86 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 872.30 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,446.30 ล้านบาท

– NOBLE (ฟินันเซียไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท แนวโน้มธุรกิจคอนโดปี 66 ยังสดใสจากทั้ง Pent Up Demand ท่ามกลาง Supply ต่ำ คาดหวังแรงกระตุ้นหลักจากลูกค้าต่างชาติกลับมา โดยเฉพาะจีน, กำไรไตรมาส 4/65 เบื้องต้นคาดเร่งตัวแรงเป็น 500-600 ลบ.จากไตรมาส 3/65 ที่ 137 ลบ. หนุนกำไรทั้งปีคาด -21% Y-Y ก่อนกลับมาโตสูง +85% Y-Y ในปี 66 เป็นหุ้นกลุ่มอสังหาฯที่น่าสนใจในแง่การ Turnaround ของผลงาน Valuation ถูกรวมถึงปันผลสูง 6-9% ต่อปี

– COM7 (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า IAA Consensus 40.5 บาท เป็นตัวเต็งที่จะได้ปรับเข้า SET50 รอบใหม่ และดักซื้อคาดหวัง ครม.เตรียมเสนอมาตรการช้อปดีมีคืนเพิ่มเงินหักลดหย่อนภาษีจาก 3 หมื่นบาทเป็น 4 หมื่นบาทสัปดาห์หน้า

– AEONTS (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 240 บาท คาดกำไรไตรมาส 3 งวดปี 65 ได้แรงหนุนจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและความต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น ผสานกับแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่ค่อยๆดีขึ้น ราคายังอยู่ในจุดที่น่าสนใจ P/BV และ P/E ปี 66 ที่ 1.96x และ 10.35x ตามลำดับ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ธ.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top