ไม่นานเกินรอ รัฐคาดปี 72 ได้ใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายได้เร่งขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขจัดอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมมีการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดด มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายสายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกระดับการเดินทางทั้งถนน ราง เรือ และอากาศ

ทั้งนี้ ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้เร่งผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา เพื่อยกระดับการเดินทางให้ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ไร้รอยต่อ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ช่วงดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท มีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการ ร่วมลงทุนกับภาคเอกชน เมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 50 ปี ทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทจะตกเป็นของรัฐ ใช้โครงสร้างและแนวเส้นทางการเดินรถเดิมของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแอร์พอร์ตลิงค์ (Airport Rail Link) ที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะก่อสร้างทางรถไฟขนาด 1.435 เมตร (Standard Gauge) ส่วนต่อขยาย 2 ช่วงจากสถานีพญาไท ไปยังสนามบินดอนเมือง และจากสถานีลาดกระบังไปยังสนามบินอู่ตะเภา พร้อมเชื่อมเข้าออกสนามบิน โดยใช้เขตทางเดิมของการรถไฟฯ เป็นส่วนใหญ่

ทั้งนี้ รถไฟความเร็วสูงมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง เชื่อมกรุงเทพฯ กับในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 นาที แนวเส้นทางโครงการผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย 9 สถานี ได้แก่ สถานีดอนเมือง สถานีบางซื่อ สถานีมักกะสัน สถานีสุวรรณภูมิ สถานีฉะเชิงเทรา สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา สถานีอู่ตะเภา

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้ งานส่งมอบพื้นที่ช่วงนอกเมือง สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ให้เอกชน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 พร้อมเดินหน้าก่อสร้างแล้ว ส่วนงานส่งมอบพื้นที่ในเมือง ช่วงดอนเมือง-พญาไท มีความคืบหน้าแล้ว 73.75% เตรียมส่งมอบให้เอกชนภายในเดือนตุลาคม 2566 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2572

“รัฐบาลผลักดันโครงการนี้ เนื่องจากเล็งเห็นประโยชน์ที่จะตามมา ที่ไม่ใช่เพียงระบบรางเชื่อมเชื่อม 3 สนามบิน และเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักใน EEC เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ที่ตามมาอีกมาก เช่น การเดินทางที่สะดวกทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ smart city ตามสองข้างทางที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน สามารถเชื่อมต่อภูมิภาคอาเซียนได้ พาประเทศพัฒนาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำให้โครงการดำเนินการอย่างโปร่งใส และรัดกุม เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ม.ค. 66)

Tags: ,
Back to Top