ครม. โยนรัฐบาลใหม่แก้ปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ้างสร้างภาระผูกพันตัดสินไม่ได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พร้อมรายงานให้ทราบว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องการให้นำเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ สำหรับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ

รวมทั้งขอให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยในอนาคตทั้งหมด โดยปัจจุบัน กทม. มีภาระหนี้จากงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ รวมทั้งสิ้น 78,830 ล้านบาทเศษ (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มี.ค.66)

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย มีความเห็นว่า เนื่องจากในปัจจุบันมี พ.ร.ฎ.ยุบสภา ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว ดังนั้น การขอรับงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวดังกล่าว จึงไม่สามารถเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ เพราะจะเป็นการสร้างผลผูกพันกับ ครม.ชุดต่อไป รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติในการยุบสภาฯ ด้วย

โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้มีความเห็นให้ ครม.มอบหมายให้กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม ดังนี้

1. ความชัดเจนของการดำเนินโครงการ ให้ กทม.หารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม ในประเด็นของระบบตั๋วร่วม, การกำหนดอัตราค่าโดยสาร, การเชื่อมโยงโครงข่ายการเดินทาง และรายละเอียดอื่นๆ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความพร้อมของกทม.ในการรับมอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต

รวมทั้งความชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย โดยให้ กทม. ประสานงานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียด รวมทั้งสถานะ หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท และภาระหนี้ และการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติ จากการปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2562 มาเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562

2. สำนักงบประมาณ เห็นว่า กระทรวงมหาดไทย กทม. ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำข้อมูลประมาณการวงเงินภาระหนี้สินที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมดจนจบสัญญาสัมปทาน (ปี 2572) เปรียบเทียบกับประมาณการ รายได้/สถานะทางการเงินของ กทม. และจัดทำข้อเสนอแผนการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นรายปี เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ ครม.ต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top