หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าอ่อนตัวรับฟิทช์หั่นเครดิตสหรัฐกดดัน จับตาพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนตัวลง จากสหรัฐถูกฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นเครดิตของสหรัฐ ทำให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นสูง กดดันสินทรัพย์เสี่ยง อีกทั้งนักลงทุนรอดูพรรคเพื่อไทยแถลงเปิดตัวพรรคร่วมรัฐบาลในวันนี้ ซึ่งหากมีการจับมือขั้วรัฐบาลเดิม คาดอาจนำไปสู่การก่อม็อบ และติดตามศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้วินิจฉัยหรือไม่ ให้แนวรับไว้ที่ 1,545-1,535 จุด และแนวต้าน 1,560-1,562 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้อ่อนตัวลง จากสหรัฐถูกฟิทช์ เรทติ้งส์ ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับ AA+ จาก AAA ส่งผลให้บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวขึ้นยืนเหนือระดับ 4% กดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ยังรอดูการแถลงเปิดตัวพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในวันนี้ หากมีการจับขั้วพรรคการเมืองเดิม ก็อาจทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น หรือมีม็อบตามมา

อีกทั้งติดตามศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าจะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้วินิจฉัยหรือไม่ หลังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีเป็นนายกฯ รอบสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากมีการรับคำร้อง และให้ชะลอการโหวตเลือกนายกฯ ออกไปก่อน ก็จะทำให้วันที่ 4 ส.ค.นี้ ไม่มีการโหวตเลือกนายกฯ ส่งผลให้การเมืองยืดเยื้อต่อเนื่อง

ให้แนวรับไว้ที่ 1,545-1,535 จุด และแนวต้าน 1,560-1,562 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (2 ส.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,282.52 จุด ลดลง 348.16 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,513.39 จุด ลดลง 63.34 จุด หรือ -1.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,973.45 จุด ลดลง 310.47 จุด หรือ -2.17%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 19,404.14 จุด ลดลง 113.24 จุด หรือ -0.58%, ขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,254.57 จุด ลดลง 7.12 จุด หรือ -0.22% และดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 32,375.85 จุด ลดลง 331.84 จุด หรือ -1.01%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ส.ค.66) 1,550.28 จุด ลดลง 5.78 จุด (-0.37%) มูลค่าซื้อขาย 54,924.46 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,570.15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ส.ค.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย. (2 ส.ค.) ลดลง 1.88 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 79.49 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ส.ค.) อยู่ที่ 13.12 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 34.43 อ่อนค่า จับตาประชุม BoE-ตัวเลขศก.สหรัฐ-การเมืองในปท.

– กนง. มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิม 2% เป็น 2.25% เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง อาจจะเป็นแรงกดดันด้านอุปสงค์ทำอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น ด้านอัตราการเติบโตเศรษฐกิจต่ำกว่าประมาณการณ์ เพราะการส่งออกสินค้าหดตัวตามเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวได้ช้า จับตาเงินเฟ้ออาจจะปรับสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้า

– จับตาเปิดสูตรใหม่วันนี้ “รัฐบาลเพื่อไทย” 263 เสียง “ไม่มีก้าวไกลไม่มีลุง” เพื่อไทยประกาศฉีกเอ็มโอยู สลัด “ก้าวไกล” เป็นฝ่ายค้านโชว์วาระแรกตั้ง ส.ส.ร. ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ด้าน “ชัยธวัช” แถลง 3 ข้อ ขอโทษประชาชน ลั่นพร้อมทำหน้าที่ทุกบทบาท เผย “ประวิตร” เรียกส.ส. “พปชร.” ประชุมด่วน ต้องเข้าร่วมทั้งพรรค ห้ามแตกแถว

– ฟิทช์ เรทติ้งส์ หั่นเครดิตสหรัฐจาก AAA เหลือ AA+ เหตุภาวะการถดถอย ทางการคลัง และปัญหาภาระหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ด้านสหรัฐเคืองถูกหั่นเครดิต ชี้นักลงทุนทั่วโลก ยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะดาวโจนส์ ฟิวเจอร์ดิ่งกว่า 100 จุด รับข่าวร้าย

 

หุ้นเด่นวันนี้

 

– บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น เข้าเทรดวันแรกใน SET กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ชื่อย่อ KCG ราคา IPO ที่ 8.50 บาท ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ “Allowrie” อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่นิยม เช่น “Imperial” “DAIRYGOLD” “bake master” “SUNQUICK” “Cookie choice” “Rosy” และ “Violet”

– BDMS (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34.50 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส 2/66 ที่ 2.9 พันลบ. -15% q-q เพราะเป็นช่วง Low season ธุรกิจ Healthcare แต่ +10% y-y คาดรายได้ไตรมาส 2/66 +8% y-y จากทั้งผู้ป่วยในประเทศคาด +5% y-y และเกินระดับ pre-covid 23% และผู้ป่วยต่างประเทศคาด +20% y-y และเกิน pre-covid 7% แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/66 จะเพิ่มขึ้นทั้ง q-q, y-y จากนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางจำนวนมากเข้าไทยหลังรามาดอนหนุนโมเมนต้ม Medical Tourist สูงขึ้น และเป็น High Season ยังคาดกำไรปี 66 ที่ 1.35 หมื่นลบ. +7% y-y

– ADVANC (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 240 บาท คาดกำไรหลักไตรมาส 2/66 เติบโตทั้ง q-q และ y-y สู่ระดับ 7 พันล้านบาท จากรายได้จากธุรกิจมือถือ และบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่ลดลง จากภาวะการแข่งขันที่ผ่อนคลาย และส่วนแบ่งการตลาดน่าจะเพิ่มเล็กน้อย กระแสเงินสดดี และมีอัตราปันผลราว 3.8% ต่อปี

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ส.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top