หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยใหม่ ราคาน้ำมันลงกดดันกลุ่มพลังงาน

นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยใหม่ แต่อาจมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบลดลง หลังซัพพลายจากตุรกีเพิ่ม กดดันหุ้นพลังงาน และยังติดตามประชุมครม.จะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างไร พร้อมให้แนวต้าน 1,480 จุด แนวรับ 1,460 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยยังไร้ปัจจัยใหม่ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลง หลังจากที่จะมีซัพพลายจากตุรกีเข้ามาเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานได้

ขณะที่ในวันนี้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆออกมาอย่างไรบ้าง ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เปิดทำการเช้านี้เคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน

โดยให้แนวต้าน 1,480 จุด แนวรับ 1,460 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (2 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,433.35 จุด ลดลง 74.15 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,288.39 จุด เพิ่มขึ้น 0.34 จุด หรือ +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,307.77 จุด เพิ่มขึ้น 88.45 จุด หรือ +0.67%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 31,607.97 จุด ลดลง 151.91 จุด หรือ -0.48% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 17,546.39 จุด ลดลง 263.27 จุด หรือ -1.48% ส่วนตลาดหุ้นจีนปิดทำการวันนี้ (3 ต.ค.) เนื่องในวันชาติ

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (2 ต.ค.66) 1,469.46 จุด ลดลง 1.97 จุด (-0.72%) มูลค่าซื้อขาย 45,356.23 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 648.47 ล้านบาท เมื่อวันที่ 2 ต.ค.66

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. (2 ต.ค.)ลดลง 1.97 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 88.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2566

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (2 ต.ค.) อยู่ที่ 6.72 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 37.09 อ่อนค่าตามภูมิภาค หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่งหนุนดอลลาร์แข็งค่า

– นายกฯ หารือผู้ว่า ธปท. ติดตามสภาพเศรษฐกิจ ยืนยันไม่มี ข้อขัดแย้งกัน จะหารือกันบ่อยขึ้น พร้อมมอบนโยบายจัดทำงบปี 67 วงเงิน 3.48 ล้านล้าน ตั้งเป้าจีดีพีโต 5% เงินดิจิทัลทำแน่ 5.6 แสนล้าน หวังเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง มอบ 5 นโยบายทำงบประมาณ เน้นคุ้มค่า เงินถึงประชาชน ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สั่งทุกหน่วยงาน ลุยหาเงินนอกงบประมาณมาใช้ ลดภาระงบประเทศ

– เวิลด์แบงก์ หั่นคาดการณ์ จีดีพีไทยปีนี้เหลือ 3.4% เหตุส่งออก-การลงทุนชะลอตัว ทำเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าตามหลังเพื่อนบ้านในอาเซียน ขณะแนวโน้มเศรษฐกิจ “จีน” แย่กว่าที่คิด ฉุดเอเชียฯ โตต่ำสุดรอบ 50 ปี

– ส.อ.ท.เผยว่า เป็นห่วงสถานการณ์น้ำที่เริ่มท่วมในหลายพื้นที่เนื่องจากเริ่มสร้างความเสียหายให้กับพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินบ้านเรือนของประชาชน โรงงานอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการท่องเที่ยว จะยิ่งกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น จึงอยากให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผนรับมือผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นและการขาดแคลนสินค้าต่างๆ เพราะจะยิ่งผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น จะสวนทางกับนโยบายดูแลราคาสินค้าให้ลดลงของรัฐบาล ขณะที่ภาคเอกชน เบื้องต้นได้เตรียมปรับแผนเส้นทางขนส่งสินค้า ทั้งทางรางและทางน้ำ หากกรณีน้ำท่วมรุนแรงจะกระทบเส้นทางขนส่งทางถนน

– “รฟม.” ชง “สุริยะ” ผลักดัน 3 โครงการรถไฟฟ้า “ส้ม-น้ำตาล-รถไฟฟ้าภูเก็ต” 2.2 แสนล้านบาท ให้เดินหน้าต่อ “สายสีส้ม” รอลงนามสัญญา “สายสีน้ำตาล” อยู่ระหว่างฟังความเห็น “รถไฟฟ้าภูเก็ต” รอเคาะรูปแบบรถชัดๆ “สุรพงษ์” เดินเครื่องประมูล 3 ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดง

 

หุ้นเด่นวันนี้

– บมจ.เจนก้องไกล (JPARK) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 3 ต.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,520 ล้านบาท โดยราคา IPO ที่ 3.80 บาท JPARK เป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารพื้นที่จอดรถ

– SNNP (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 26.75 บาท แนวโน้มผลประกอบการ 2H66 จะดีกว่า 1H66 เนื่องจากเข้า High Season โดยอัตรากำไรยังขยายตัวได้เนื่องจากการใช้อัตราการผลิตในระดับสูง และควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นในโรงงานเวียดนามเฟส 1,2 สำหรับระยะสั้น 3Q66 คาดกำไรยังโตได้ QoQ, YoY จากการออกสินค้าใหม่และการเปิดสายการผลิตใหม่ในเวียดนามเฟส 2 (ผลิตเบนโตะเริ่มเดือน 5) รวมถึงมีโมเมนตัมต่อในช่วง 4Q66 จากการเปิดสายการผลิตในเวียดนามเฟส 3 (เจเล่ 4Q66) ทำให้บริษัทวางเป้ารายได้ปีนี้โต 15% ส่วนหนุน margin เพิ่มจากการประหยัดต่อขนาดและต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าโรงงานในประเทศไทย ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66 ที่ 689 ล้านบาท (+33%YoY)

– KLINIQ (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 46.10 บาท ผู้บริหารของ KLINIQ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปี 2566 ขึ้น 13% เป็น 2.25 พันลบ. แต่ยังคงเป้าอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 13% KLINIQ, LabX และศัลยกรรมปรับตัวดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY ส่วนการร่วมมือกับ Mediz เริ่มสร้างกระแสรายได้ วางแผนเปิดสาขาใหม่ 8 สาขา ได้แก่ LabX 7 แห่ง และ KLINIQ 1 แห่ง โดย 2 สาขาจะตั้งอยู่ในต่างจังหวัด ส่วนที่เหลืออยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงบริการใหม่ที่น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายคือ Hybrid Filler ซึ่ง KLINIQ เป็นคลินิกแห่งแรกที่จะให้บริการ ส่วนของศัลยกรรมจะเพิ่มบริการเฟซล็อค (Face Lock) และการดูดไขมัน

– TU (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า IAA Consensus 16.50 บาท รับอานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่าสู่ระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่ราคาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักลดลงสู่ระดับ 1,700$/ton ในเดือน ก.ย. ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top