บัวหลวง ฉายภาพ SET ปี 67 ความเสี่ยงเพียบ ชี้ช่องจัดพอร์ตโยกเข้าตลาดเวียดนาม เพิ่มหุ้นกู้-ทองคำลดเสี่ยง

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 67 ยังเผชิญกับความท้าทายทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในประเทศ

โดยที่ในส่วนของปัจจัยภายนอกยังต้องจับตาทิศทางเศรษฐกิจจีน เพราะประเทศไทยถือว่ามีความเกี่ยวโยงกังเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก เนื่องจากมีการค้าขายกับจีนมากที่สุด และเกี่ยวข้องกับการค้าขายของบริษัทจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำธุรกิจส่งออก รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังต้องหวังกับการที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากขึ้นในปี 67 จากปี 66 ที่นักท่องเที่ยวจีนยังไม่เดินทางออกนอกประเทศมาก

ขณะที่ปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่องเป็นเรื่องความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ทั้งกรณีรัสเซียและยูเครน รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งตอนนี้สถานการณ์สงครามใน 2 พื้นที่อยู่ในขอบเขตจำกัด อีกทั้งทิศทางราคาน้ำมันตอนนี้ดีมานด์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังอ่อนแอเทียบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC และนอก OPEC ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินที่สามารถรองรับการเติบโตของด้านการบริโภคไปได้ถึงปี 70 ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะแกว่งในกรอบ 75-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นการกรอบที่สมดุลระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิต

ส่วนปัจจัยในประเทศยังต้องรอผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเริ่มใช้ในปี 67 ว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างไร และการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการต่างๆของภาครัฐที่เลื่อนการอนุมัติโครงการออกมาว่าจะมีการผลักดันออกได้เป็นรูปธรรมอย่างไร อีกทั้งกำลังซื้อในประเทศยังต้องติดตามทิศทางว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นหรือไม่ ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อตลาดหุ้นไทย และอาจจะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนตลาดหุ้นไทยลดลงไป

โดยในปี 67 มุมมองของ บล.บัวหลวงได้ลดน้ำหนักคำแนะนำการลงทุนในหุ้นไทยลดลง และหันไปเพิ่มน้ำหนักในหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น เพราะจากภาพรวมของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามที่สูงกว่าบริษัทจดทะเบียนไทย อีกทั้งยังมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่าบริษัทจดทะเบียนไทย ประกอบกับราคาหุ้นเวียดนามยังถือว่าค่อนข้างถูกกว่าตลาดหุ้นไทย ทำให้ยังมีความน่าสนใจ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวงยังคงให้มุมมองแบบ Conservative กับอัตราการเติบโตบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS Growth) ในปี 67 ที่เติบโต 7.3% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของ Consensus ที่มองว่าเติบโต 12-15% จากความท้าทายของปัจจัยที่บริษัทจดทะเบียนไทยยังต้องเผชิญ โดยที่มองดัชนี SET สิ้นปี 67 จะอยู่ที่ 1,600 จุด คิดเป็นระดับ P/E ที่ 16.5 เท่า

สำหรับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในปี 67 อาจเริ่มเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักๆของโลกลงในช่วงปลายไตรมาส 1/67 หลังเริ่มควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมายไม่เกิน 2% ได้ และเริ่มเห็นผลของการที่เศรษฐกิจค่อยๆชะลอความร้อนแรงในการเติบโตลง โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ขึ้นดอกเบี้ยมาอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และอยู่ในจุดที่ใกล้กับระดับดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 20 ปี ทำให้โอกาสที่ดอกเบี้ยสหรัฐจะไปต่อมีน้อยลง

ประกอบกับเงินเฟ้อของสหรัฐได้ปรับลดลงมาต่ำกว่า 2% แล้ว เป็นการส่งสัญญาณโอกาสในการลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 67 เพื่อรักษาสมดุลของเศรษฐกิจ และจะทำให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เริ่มลดดอกเบี้ยตาม รวมถึงประเทศไทยด้วยที่คาดว่าโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงินจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยลง 1 ครั้ง มาที่ 2.25% จากปัจจุบันที่ 2.50% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 67 หากเฟดเริ่มมีการลดดอกเบี้ยลงแล้ว และมุมมองต่อค่าเงินบาทในปี 67 คาดว่าจะอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 67 แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆ โดยอันดับแรกที่ให้สัดส่วนมากที่สุดที่ 43% คือ ตราสารหนี้ ที่มองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลก แต่ต้องเป็นตราสารหนี้คุณภาพ เพราะแม้จะเห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยลดลง แต่ไม่ได้ลงเร็ว อันดับ 2 คือ ทองคำ สัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ซึ่งทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

อันดับ 3 คือ หุ้น สัดส่วน 45% แบ่งเป็นหุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38% แต่ต้องรอดอกเบี้ยลดลงระดับหนึ่งก่อน นักลงทุนจึงจะมีความมั่นใจ โดยหากนักลงทุนที่จะแบ่งสัดส่วนในการลงทุนหุ้นไทยมองว่ากลุ่มที่โดดเด่นในปี 67 คือ กลุ่มธนาคาร การบริโภคภายในประเทศ ค้าปลีกส่งออกแปรรูป การท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์ และโรงไฟฟ้า ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ

ส่วนผู้ที่สนใจการลงทุนต่างประเทศ แต่ไม่สะดวกในการโอนเงินไปซื้อลงทุนตรง ก็สามารถลงทุนผ่าน DR ในกระดานหุ้นไทยได้ แนะนำ DR ที่ครอบคลุมการลงทุนในเวียดนามอย่าง FUEVFVND01 อ้างอิงกับดัชนี Vietnam Diamond และ E1VFVN3001 อ้างอิงกับดัชนี VN30 (หุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนาม) หรือ DR “HK01” ETF ตัวแรกของฮ่องกงที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง DR ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Tracker Fund of Hong Kong เป็น ETF อ้างอิงดัชนี Hang Seng เรือธงของฮ่องกง และ DR “HKCE01” ETF ที่รวมบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง DR ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Hang Seng China Enterprises Index ETF ที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงเป็นอันดับ 2 ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และลงทุนอ้างอิงดัชนี Hang Seng China Enterprises ที่มีบริษัทจีนชั้นนำจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง จำนวน 50 หลักทรัพย์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top