EXIM BANK ชู “Green Development” ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน 50% ในปี 71

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในงาน “EXIM Green Wishes Market” ว่า ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกยังทวีความรุนแรงขึ้น สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังค่อนข้างวิกฤต ทุกภาคส่วนในระดับประเทศ และระดับโลก จึงต้องพยายามแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกร่วมกัน

ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 หรือ COP 28 ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อต้นเดือนธ.ค.66 ได้ข้อสรุปที่จะเปลี่ยนผ่านหรือทยอยลดการใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593

“EXIM BANK ซึ่งมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Green Development Bank จึงพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และบรรลุ Net Zero Emissions ภายในปี 2608” นายรักษ์ กล่าว

พร้อมระบุว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Banks) ทั่วโลก รวมถึง EXIM BANK มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนให้แก่ภาคธุรกิจมากถึง 1 ใน 3 ของมูลค่า Climate Finance โลก โดย EXIM BANK ได้พัฒนาเครื่องมือทางการเงินที่สนับสนุนโครงการหรือธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) เพื่อลดการปล่อยก๊าซ CO2 ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกประเภทหนึ่ง สู่ชั้นบรรยากาศโลก

โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ EXIM BANK ณ สิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ราว 61,500 ล้านบาท หรือ 35% ของสินเชื่อคงค้างรวมของธนาคาร

นายรักษ์ กล่าวว่า นับแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 จนถึงปัจจุบัน EXIM BANK ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปปักหมุดธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศรวมแล้วกว่า 400 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตกว่า 8,800 เมกะวัตต์ ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน สร้างมูลค่าการลงทุนกว่า 578,300 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังพัฒนาสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อ Solar Orchestra และ EXIM Solar D-Carbon Financing ที่ไม่เพียงให้เงินทุน แต่ยังช่วยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตให้แก่ผู้ประกอบการ รวมถึงสินเชื่อ EXIM Green Start ดอกเบี้ยอัตราพิเศษสำหรับ SMEs หรือคนตัวเล็ก ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว

และในปี 2567 EXIM BANK มีแผนจะออกพันธบัตร Blue Bond เป็นครั้งแรก เพื่อขับเคลื่อน Blue Economy ดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลให้เป็นแหล่งการจ้างงาน และแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนของประชากรหลายล้านคนทั่วโลก

“การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล เป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ขององค์การสหประชาชาติ แต่การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ต้องใช้เงินลงทุนสูงถึงราว 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ในช่วงปี 2558-2562 มีเงินลงทุนจริงไม่ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังมีช่องว่างของเงินลงทุนเหลืออยู่มากถึงเกือบ 1.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 1 ใน 3 ของ GDP ไทย” นายรักษ์ ระบุ

นายรักษ์ กล่าวว่า ในปี 2567 EXIM BANK จะนำโมเดล “Green Development” ไปใช้พัฒนาองค์กรและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนไปกับสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการประหยัดพลังงาน และเดินหน้าสู่องค์กรสีเขียว องค์กรจะสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ผ่านการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG เร่งยกระดับธุรกิจไทยให้เข้าสู่ ESG Supply Chain ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม และการจ้างงานในอุตสาหกรรมสู่อนาคต อาทิ S-Curve ธุรกิจบริการ Soft Power และเกษตรแปรรูป โดยสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและเทรนด์โลก

พร้อมสานพลังกับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน สนับสนุน SMEs ไทยสู่เวทีโลกด้วยความพร้อมด้านความรู้ โอกาส เงินทุน และเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน บนหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งคนตัวเล็ก และกลุ่มเปราะบางในชุมชนและสังคม

โดย EXIM BANK ตั้งเป้าหมายสู่ Carbon Neutrality ในปี 2573 และ Net Zero Emissions ในปี 2593 เร็วกว่าเป้าหมายประเทศไทย 20 ปีและ 15 ปีตามลำดับ โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร ควบคู่กับการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนให้เป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดภายในปี 2571

ท่ามกลางความท้าทายของทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน การกลับทิศของนโยบายการเงิน แนวโน้มเศรษฐกิจในตลาดการค้าหลัก รวมถึงความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการค้าเป็นระลอก

นายรักษ์ เชื่อว่า ภาคการส่งออก จะกลับมาหนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้ โดยมุ่งเน้นสินค้าไทยที่เกาะกระแสเทรนด์โลก เช่น สินค้าเกษตรและอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว สินค้าเทคโนโลยีและดิจิทัล สินค้ารักษ์โลก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ธ.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top