หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งตัวกรอบแคบ ไร้ปัจจัยหนุน-ตลาดจับตาเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดแกว่งออกข้าง ในกรอบแคบๆ สอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวผสมผสาน เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน โดยนักลงทุนจับตาดูการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)สหรัฐ เดือนก.พ. โดยตลาดคาดว่า ดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบ YoY และ เพิ่มขึ้น 0.4% MoM ขณะที่คาดดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 3.7% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบ YoY และเพิ่มขึ้น 0.3% MoM

ทั้งนี้สิ่งที่ต้องจับตาดูอีกเรื่อง คือ การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคในระยะเวลา 3-5 ปี ที่ปรับตัวขึ้น โดย 3 ปี เพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 2.7% ขณะที่คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะเวลา 5 ปี เพิ่มขึ้น 0.4% สู่ระดับ 2.9% อาจส่งผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือจำนวนครั้งในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้

ให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,377-1,375 จุด และแนวต้าน 1,385-1,387 จุด

 

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (11 มี.ค.) ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 38,769.66 จุด เพิ่มขึ้น 46.97 จุด หรือ +0.12%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,117.94 จุด ลดลง 5.75 จุด หรือ -0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,019.27 จุด ลดลง 65.84 จุด หรือ -0.41%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 16,701.95 จุด เพิ่มขึ้น 114.38 จุด หรือ +0.69% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 3,068.18 จุด ลดลง 0.28 จุด หรือ -0.01% ขณะที่ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 38,470.39 จุด ลดลง 350.10 จุด หรือ -0.90%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 มี.ค.) ที่ 1,380.23 จุด ลดลง 6.19 จุด (-0.45%) มูลค่าการซื้อขาย 33,443.99ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,320.07 ล้านบาท (11 มี.ค.)

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. (11 มี.ค.) ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 77.93 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 มี.ค.) อยู่ที่ 5.92 เหรียญ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 35.42 ทรงตัวหลังไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดจับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้

– ก.ล.ต.เดินหน้าคุม Short Selling-Program Trading หลังรับฟังเสร็จ เริ่มใช้ไตรมาส 3 เพิ่มโทษโบรกเอาผิดยันผู้ลงทุนปิดช่องโหว่คัสโตเดียนรายงานก่อน ทำรายการ หลังธุรกรรม Short Selling จาก HFT พุ่ง 98% ด้านกฎหมายเร่งอำนาจตรวจสอบ-คุ้มครองพยาน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นตลาดทุน ตลท.รับลูกหากไม่เพียงพอมีมาตรการเข้มขึ้น “โบรก” มองข้อมูลเชิงปฏิบัติ ยังไม่ชัด คาดหยุดธุรกรรม Naked Short ได้

– หน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม คู่สัญญาก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานกับ “อิตาเลียนไทย” จับตาปมขาดสภาพคล่อง กระทบจ่ายเงินเดือนพนักงานในไซต์ก่อสร้าง กทพ.มอนิเตอร์ใกล้ชิด เร่งผู้รับเหมาดำเนินให้เสร็จตามสัญญา ขีดเส้นทางด่วนสายพระราม 3 เสร็จ มิ.ย.2568 ด้าน ร.ฟ.ท. หวัง “ไอทีดี” แก้ปัญหาภายใน เผยเร่งเจรจาแบงก์เพิ่มสภาพคล่องให้จบภายใน มี.ค.นี้

– การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรอบ 2 ในเดือนเม.ย.นี้ตามเป้าหมาย กระทรวงแรงงานล่าสุดสรุปการคำนวณสูตรได้ข้อยุติปรับอีก 1.5% จากเดิมที่ปรับขึ้นในวันที่ 1 ม.ค.67 เฉลี่ย 2-16 บาท/วัน หรือปรับขึ้นที่ 2.37% ซึ่งสูงสุดยังคงไม่ถึง 400 บาท/วัน นัดถก 26 มี.ค.นี้ หลังยังไร้ข้อยุติกรณีจะปรับขึ้นเป็นรายเขตและประเภทกิจการ ส.อ.ท.ชี้รัฐขึ้นค่าจ้างซ้ำเติม SMEs หนัก

– โฆษกรัฐบาลเผย รัฐบาลสนับสนุนผู้ประกอบการไทยมีส่วนในซัปพลายเชน อุตสาหกรรมยานยนต์ EV ต่อเนื่อง ยืนยันต้องการให้คนไทยได้ประโยชน์อุตสาหกรรมยานยนต์ EV หนุนเศรษฐกิจไทย พร้อมสู้ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม

 

หุ้นเด่นวันนี้

– CK (เคจีไอ) เป้า Consensus 26.39 บาท Sentiment บวกจากเงินงบประมาณฯภาครัฐเตรียมเร่งอัดฉีด เราประเมินภาครัฐฯ เตรียมเร่งอัดฉีดเงินงบประมาณฯที่ล่าช้าภายใน เม.ย. นี้ และคาดจะเร่งพิจารณา พรบ งบฯปี 2568 ต่อ และคาดผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีความพร้อมด้านฐานเงินทุนอย่าง CK* จะได้เปรียบ, Valuation ยังไม่แพง ทั้งในด้าน PE PBV และ Sum of the parts Forward PE +/-21 เท่า (คาดกำไรปีนี้โต +25% YoY) PBV 1.58 เท่า ใกล้เคียง +1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต และหากพิจารณามูลค่าของ บ.ลูก (BEM*, CKP*, TTW) รวมกันตามสัดส่วนถือหุ้น มูลค่าหุ้น CK* ยัง Discount อยู่ราว -30% มุมมองด้านเทคนิค ประเมิน แนวรับ 23.5 บาท / แนวต้าน 24.0 – 24.5 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 25 บาท (Trailing stop 23.1 บาท)

– GPSC (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 59.50 บาท แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/67 คาดกำไรฟื้นตัว QoQ เป็นผลจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย.67 ขึ้นมาที่ 4.18 บาท/หน่วย ประกอบกับต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่ลดต่ำลงตามฤดูกาล ช่วยหนุนอัตรากำไรดีขึ้น ส่วนในปี 67 คาดค่าไฟฟ้ามีโอกาสขยับขึ้นหรือทรงตัวจากงวดปัจจุบัน อีกทั้งได้ผลบวกจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง นอกจากนี้จะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ และ sentiment บวกจาก Bond Yield ที่ปรับลดลง ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 5 พันล้านบาท +35%YoY

– CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 77 บาท แนวโน้ม SSSG 1QTD ยังเป็นบวกแข็งแกร่ง Low-to-Mid Single Digit ทำให้เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 1Q24 จะยังแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายสาขา CVS จะเพิ่มอีก 700 สาขาในไทยและยังมีแผนขยายสาขากัมพูชาและลาวต่อเนื่อง ประมาณการกำไรปี 2567 ปัจจุบันของเราที่ 2 หมื่นลบ. +11% y-y อาจมี Upside อีกเล็กน้อย ด้าน Valuation ยังค่อนข้างถูก ปัจจุบันเทรด PER เพียง 25 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ 30 เท่า แนวรับ 56.75//56 บาท แนวต้าน 58//59 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มี.ค. 67)

Tags: , , ,
Back to Top