CONSENSUS: SNNP อ่อนตัวเป็นจังหวะเก็บ เก็ง Q2/67 กำไรโตทั้ง YoY, QoQ

โบรกเกอร์เชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง (SNNP) เล็งกำไรสุทธิในไตรมาส 2/67 เติบโตทั้ง QoQ และYoY หลังไตรมาส 1/67 โตช้ารับผลกระทบกำลังซื้อในประเทศอ่อนตัว แต่ไตรมาส 2/67 ได้รับผลดีจากฤดูกาลช่วงอากาศร้อนจัด ทำให้สินค้าเครื่องดื่มเติบโตพุ่ง โรงเรียนกลับมาเปิดเทอมหนุนยอดขายขนมขบเคี้ยว รวมถึงการทยอยออกสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี กำลังซื้อในประเทศแทบไม่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่เวียดนามก็ยังไม่เห็นการเติบโต 2 digit เหมือนแต่ก่อน ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกยังไม่น่าตื่นเต้น แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังยอดขายและกำไรจะดีกว่าครึ่งปีแรกจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาด Gross Margin ยังอยู่ในระดับสูง และยังเดินหน้าขยายตลาดส่งออก อย่างฟิลิปปินส์ที่ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายแล้ว รวมถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน จะเป็นแรงหนุนผลประกอบการในระยะต่อไป

ราคาหุ้น SNNP ปรับตัวตอบรับผลประกอบการอ่อนตัวมาแล้ว ทำให้ Downside ลดลง ขณะนี้ราคาหุ้น P/E ไม่สูง โดยราคาหุ้นวันนี้ปิดที่ 15.80 บาท ลดลง 0.30 บาท (-1.86%) เป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน

นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า SNNP แจ้งงบไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 2% YoY และลดลง 4.5% QoQ เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด จุดสำคัญคือ ตัวรายได้ในประเทศไม่ค่อยโต ถือว่ากำลังซื้อยังไม่ค่อยฟื้น ส่วนต่างประเทศที่เคยเติบโตดี ก็เติบโตเพียง 7% YoY โดยเฉพาะเวียดนาม ยอดขายโตเพียง 8% เท่านั้นจากเดิมที่เติบโต 2 digit

แต่สิ่งที่ยังช่วยและยังดีอยู่คือ Gross Margin ที่ยังสูงถึง 29.5% เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ที่มาจาก Product Mix และการบริหารต้นทุน รวมถึงมาร์จิ้นในเวียดนามก็ขึ้นมาสูง

จากการประชุมนักวิเคราะห์ โดยรวมผู้บริหารพูดในโทนลดความคาดหวังในระยะสั้นของตลาดลง (Lower Expectation) เพราะยังมองว่ากำลังซื้อตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันยังอ่อนแอ และไปคาดหวังการกลับมาเติบโตตื่นเต้นในช่วงครึ่งปีหลังที่จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากกว่า

ทั้งนี้ มองว่าช่วงครึ่งปีแรกไม่ค่อยตื่นเต้นนัก น่าจะเห็นการปรับลดประมาณการของตลาดลงราว 5-10% แต่แนวโน้มไตรมาส 2/67 มีโอกาสกำไรจะเติบโตทั้ง YoY, QoQ เหมือนเดิม แต่อาจจะยังไม่ใช่ Momentum แรงๆ เพราะแม้รายได้มีโอกาสจะเติบโตได้ Double Digit แต่ Gross Margin จะอ่อนตัวลง QoQ แต่จะเพิ่มขึ้น YoY ตามสัดส่วนของการขายสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มเพิ่มสูงขึ้น (GM น้อยกว่า Snack)

ผู้บริหารยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ภาพรวมทั้งปี 67 ที่ 15-20% (เฉพาะในประเทศ 10-15%) เท่ากับว่าช่วงครึ่งปีหลัง ต้องเติบโตระดับ 20%+ (ครึ่งปีแรกน่าจะโต 10%) โดยเฉลี่ย มองว่าท้าทาย และ Gross Margin คาดว่าจะดีขึ้น หวังระดับเกิน 29-32% (ประมาณการของเราคาดรายได้เติบโต 13%YoY และ GM 29.2%)

สำหรับตลาดเวียดนาม ตัวเลขไตรมาส 1/67 เติบโตช้าลง (+8%YoY) อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ปัญหา อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/67 ที่พ้นช่วงหยุดยาวเวียดนามไป น่าจะกลับมาเติบโต Double Digit ได้ (เป้าปี 67 ที่ 15-20%)

ขณะที่การขยายตลาดยังเป็นเป้าหมายการเติบโตระยะถัดไป เพราะในประเทศโตยาก จึงไปมุ่งเน้นต่างประเทศ โดยเฉพาะ ฟิลิปปินส์ รวมถึงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และจีน

สินค้าใหม่ อาทิ เจเล่ฟิตต์ (เปิดตัว ก.พ.) กระแสตอบรับดี แม้สัดส่วนยังน้อย แต่หาก Keep Momentum ดีต่อ ในช่วง 2 ปีนี้ จะเป็นตัวผลักดันทั้งรายได้ และ Gross Margin

ส่วนการใช้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ตั้งงบฯ 15-16% ของยอดขาย ซึ่งไตรมาส 1/67 อยู่ในกรอบบน ทำให้ประเด็นนี้ตลาดกลับมาจับตามองอีกครั้ง (เราให้สมมติฐาน 15.7% อยู่แล้ว จากปีที่แล้ว 15.4%)

ในเชิงพื้นฐานยังคงแนะนำ “ซื้อ” เพราะราคาหุ้นอยู่ข้างล่างแล้ว จาก PER ราว 21 เท่าต่ากว่าเฉลี่ยอดีต 27 เท่า และค่าปกติของกลุ่ม Consumer ที่ปัจจุบันอยู่ช่วง 20-25เท่า อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นเราคาดว่าราคาหุ้นยังถูกกดดัน (ยังไม่น่าเด้งแรงๆ) จากการทยอยปรับลดประมาณการกำไรของตลาด อีกทั้งเกณฑ์คำนวณหุ้นเข้า-ออก SET100 รอบใหม่ อาจทำให้ SNNP หลุด SET100

ด้วยเหตุเหล่านี้ จึงมองว่านักลงทุนอาจจะค่อยๆ ทยอยสะสมถัวเฉลี่ยช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวได้ เพื่อรอ Catalyst บวกจะกลับมาใหม่ช่วง Earnings preview งบไตรมาส 2/67 ที่จะมาพร้อมกับภาพเศรษฐกิจมหภาคที่ดูดีขึ้น เรามองว่า SNNP จะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SNNP ชี้แจงกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/67 ที่ 156 ล้านบาท(-6%QoQ, +1%YoY)โดยกำไรที่ลดลง QoQ เพราะยอดขายลดลงจากผลของฤดูกาล ส่วนกำไรที่เติบโต YoY เป็นผลจากยอดขายต่างประเทศสูงขึ้นทั้งจากประเทศเวียดนามที่เป็นตลาดเดิมและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่

เรายังคงประมาณการกำไรปี 67 ไว้ที่ 760 ล้านบาท(+20% YoY)และคงราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 22.70 บาท (อิงPERที่ 28.7เท่า) คงคำแนะนำ “Outperform” เพราะ 1)คาดกำไรที่กลับมาเติบโตได้ดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/67 จากผลของฤดูร้อนหนุนยอดขายสินค้าเครื่องดื่มส่วนช่วงไตรมาส 3/67-4/67 คาดหวังการฟื้นตัวของสินค้าขนมขบเคี้ยวและ 2)ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 5% YTD ขณะที่หุ้น ICHI ราคาปรับขึ้นมาแล้วกว่า 12% YTD แต่คาดมีกำไรเติบโตที่ 10% น้อยกว่า SNNP

มองว่ากำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/67 จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และYoY จากผลของฤดูกาล โดยผลกระทบเชิงบวก ได้แก่ 1) ได้รับผลบวกจากฤดูร้อนร้อนรุนแรงกว่าปกติ ทำให้สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็น เจเล่ หรือเมจิกฟาร์ม ขายดี อีกทั้งบริษัทได้เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตของสินค้า กลุ่มเครื่องดื่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเพื่อรองรับกับยอดขายที่คาดจะมีมากในไตรมาสนี้

2) หลังจากกลางเดือนพฤษภาคม โรงเรียนกลับมาเปิดเทอม คาดช่วยกระตุ้นยอดขายของสินค้ากลุ่มขนมคบเคี้ยวราคา 5-10 บาทได้ 3) บริษัทได้ผู้จัดจำหน่ายสินค้าเจเล่อย่างเป็นทางการในฟิลิปปินส์แล้ว คาดหวังยอดขายในไตรมาสนี้เติบโตหนุนยอดขายต่างประเทศ 4) อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) คาดทรงตัวเพราะเข้าสู่ Low season ของสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยวอย่างที่สร้างมาร์จิ้นสูงกว่าสินค้ากลุ่มประเภทเครื่องดื่ม แต่คาดชดเชยได้จากการขายต่างประเทศที่สร้างมาร์จิ้นดีกว่าการขายในประเทศจะยังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นหลังอัตราการใช้กำลังการผลิตเวียดนามสูงขึ้น

ส่วนปัจจัยลบ 1) ยอดสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยวอย่าง เบนโตะ รสชาติเผ็ดร้อน คาดจะมียอดขายลดลงต่อเนื่องจากอากาศร้อนจัดคนไม่นิยมบริโภคอาหารเผ็ด 2) คลังสินค้าที่จำกัดไม่เพียงพอต่อการสต็อกสินค้าที่มีการเพิ่มกำลังการผลิต อาจะทำให้ยอดขายโตได้ไม่เต็มที่จากความต้องการที่มากแต่สินค้าขาดแคลน

จากกำไรช่วงไตรมาส 1/67 ที่ออกมาใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสำหรับปี 67-68 ตามเดิมที่ 760 ล้านบาท(+20% YoY) และ 913 ล้านบาท(+20% YoY)

บล.กรุงศรี มีมุมมอง Slightly negative จากการประชุมนักวิเคราะห์ โดยผู้บริหาร SNNP ตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโต15-20% แต่แนวโน้มมี Downside โดยในไตรมาส 1/67 รายได้ +1% y-y (Key highlight ไทย flat, เวียดนาม +8%,กลุ่มขนม -6%, เครื่องดื่ม +12%) โดยบริษัทเริ่มมีมุมมองระมัดระวังจากด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มขนม (53% ของรายได้) และบริษัทประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลังจะเด่นกว่าครึ่งปีแรก จากการทำการตลาดเพิ่มทั้งออกสินค้าใหม่และตลาดใหม่ และอีกส่วนเรามองฐานรายได้ครึ่งแรกปี 66 ยังเป็นฐานสูง และต้องรอรายได้ปรับฐานครบ 4 งวดในไตรมาส 2/67 ก่อน

สินค้าใหม่ เปิดตัวเยอะในไตรมาส 1/67 มีถึง 18SKUs (ขนม 7SKUs: เบนโต๊ะ 3+ โลตัส 4 และเครื่องดื่ม 11SKUs คือ เจเล่ 6 (รวมสินค้า Highlight คือ เจเล่ฟิตต์ แบบอาหารเสริม) และเมจิก ฟาร์ม 5) เทียบช่วงปกติเพียง 3-6SKUs ต่อไตรมาส

โดยจุดสังเกตของเรา ยังมอง Neutral ในด้านนี้ คือ 1) เพื่อมุ่งหวังการเติบโตในภาวะที่กำลังซื้อกดดัน ซึ่งปกติ สินค้าใหม่จะช่วยรายได้ราว 5-10% 2) เจเล่ฟิตต์ (เปิดตัวมี.ค. 67) บริษัทเผยผลตอบรับดีและมากกว่าเป้า 3) กลุ่มเครื่องดื่มเปิดตัวหลาย SKUs และหลายสินค้าออกมาจับกลุ่มที่กำลังได้รับความนิยม (น้ำมะพร้าว, น้ำองุ่นใส่วุ้นมะพร้าว, ชาเขียวน้ำผึ้งผสมมะนาว, คอมบูฉะ ฯลฯ) แต่ขณะเดียวกัน แนวโน้มอากาศจะเริ่มเข้าสู่ลานีญ่าในเดือน มิ.ย.ทำให้ผลตอบรับยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามดู

ส่วนการเปิดตลาดประเทศ Potential market ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เกาหลี,มาเลเซีย,จีน โดยในไตรมาส 1/67 รายได้จากกลุ่มนี้ +27% y-y แต่สัดส่วนยังเพียง 6% ของรายได้ จากที่ผ่านมาเปิดตลาดในเวียดนามได้แล้ว มองเป็นปัจจัยต้องติดตามระยะกลางยาว โดยระยะสั้นบริษัทให้น้ำหนักกับฟิลลิปปินส์มีความคืบหน้ามากสุด และจะหา Distributor เพิ่มอีก 2 ราย เพื่อกระจายสินค้าในกลุ่มขนมและเครื่องดื่ม จากปัจจุบันมี Distributor หลักเฉพาะกลุ่มเจเล่ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ฟิลิปปินส์ราว 150 ล้านบาท (2% ของรายได้)

Gross margin ยังมองเป้าระดับ 30% เทียบกับปี 66 ที่ 28.6% เป็นจุดที่บริษัทยังทำได้ดีและเป็น New high จากการควบคุมต้นทุน และจากการเปิดโรงงานผลิตในเวียดนามครบทั้งเบนโตะ,เจเล่,โลตัส ซึ่งเวียดนามมี Margin สูงกว่า (ค่าแรง,วัตถุดิบและค่าขนส่ง) แม้ปัจจุบัน U Rate เวียดนามยังต่ำเพียง 30-40% อย่างไรก็ตาม บริษัทมอง Gross ไตรมาส /67 margin อาจจะลดลงจากไตรมาส 1/67 ซึ่งอยู่ที่ 29.5% เนื่องจาก Product mix กลุ่มเครื่องดื่ม (low margin) ขายดีกว่ากลุ่มขนม 

บล.กรุงศรี ปรับลดกำไรปี 67-69 ลงเฉลี่ย 6% จากปรับลดรายได้ลง โดยกำหนดปี 67 รายได้ +7% (ไทย +3%, ต่างประเทศ +14%) และคาดกำไร 700 ล้านบาท (+10% y-y) โดยระยะสั้น มองกำไรไตรมาส 2/67 ราว 160-165 ล้านบาท เพิ่มราว 5% y-y

ลูกหนี้การค้าที่หนี้อายุยาวขึ้น ในกลุ่มอายุ 3-6/6-12/มากกว่า 12เดือน ที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 3/66 และเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/67 บริษัทมองยังไม่น่ากังวลและไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่มทุกดีลมี Bank guarantee และจะเริ่มชำระคืนในไตรมาส 2/67 -ไตรมาส 3/67 แล้ว (ส่วนใหญ่คือลูกหนี้ต่างประเทศ)

คงคำแนะนำ Trading buy จาก TP24F ใหม่ 18.2 บาท (เดิม 21.3 บาท) อิง DCF (WACC 10.8%, Terminal Growth 4.0%) หรือเทียบเท่า PER 25x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 27x จากแนวโน้มการเติบโตลดลง ทั้งนี้ หุ้นมีโอกาสเห็นรอบ Earning cut ช่วงนี้ และซื้อขายระดับ Valuation PER24F 23x ที่ใกล้เคียงกลุ่มอิงบริโภคมองรอบนี้เป็นจังหวะ “ทยอยสะสม”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ค. 67)

Tags: , ,
Back to Top