ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก กลุ่มสาธารณูปโภค-เทเลคอมหนุนตลาด

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (20 พ.ค.) ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มโทรคมนาคมนำตลาดปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันผลประกอบการของบริษัทบางแห่งที่ออกมาดีก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย

  • ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.02 จุด เพิ่มขึ้น 4.04 จุด หรือ +0.73%
  • ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,942.42 จุด เพิ่มขึ้น 58.79 จุด หรือ +0.75%,
  • ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,036.11 จุด เพิ่มขึ้น 101.13 จุด หรือ +0.42% และ
  • ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,781.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.81 จุด หรือ +0.94%

ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 สัปดาห์ โดยตลาดหุ้นเยอรมนีและไอร์แลนด์แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนตลาดหุ้นสเปนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 1.8% โดยหุ้นอีดีพี เรโนวาเวียส (EDP Renovaveis) จากโปรตุเกสพุ่งขึ้น 4.1% หลังธนาคาร ดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) ปรับคำแนะนำลงทุนหุ้นดังกล่าวจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”

หุ้นออร์สเตด (Oersted) ซึ่งพัฒนาโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง พุ่งขึ้น 14.5% และหุ้นเวสทาส วินด์ (Vestas Wind) พุ่งขึ้น 4.8% หลังรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งระงับการทำงานในโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งที่วางแผนไว้ใกล้ชายฝั่งนิวยอร์ก

หุ้นโวดาโฟน (Vodafone) พุ่งขึ้น 7.3% หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมคาดว่ากระแสเงินสดในปีนี้จะเติบโต ส่งผลให้หุ้นกลุ่มโทรคมนาคมปรับตัวขึ้น 1.7%

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา ซึ่งได้รับอานิสงส์จากผู้บริโภคชาวจีน ปรับตัวขึ้นในวันอังคาร โดยหุ้นแอลวีเอ็มเอช (LVMH) เพิ่มขึ้น 1.3%, หุ้นเบอร์เบอรี (Burberry) พุ่ง 3.7% และหุ้นเคอริง (Kering) พุ่งขึ้น 4% โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา ปรับขึ้น 0.3%

ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค. เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

สหภาพยุโรปและอังกฤษประกาศคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่โดยไม่รอสหรัฐฯ เข้าร่วม ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนต่อการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนในอนาคต

บรรดานักลงทุนยังคาดการณ์ถึงความคืบหน้าในการทำข้อตกลงทางการค้า โดยภาษีตอบโต้ของทรัมป์มีกำหนดจะเริ่มบังคับใช้อีกครั้งในช่วงต้นเดือนก.ค.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ค. 68)

Tags: ,
Back to Top