
บล.กรุงศรี (KSS) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจากปัจจัยความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งปัจจัยภายนอก ทั้งประเด็นการใช้ภาษีตอบโต้ทางการค้า (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และการเจรจาที่ยังคืบหน้าไปอย่างจำกัด และประเด็นด้าน
เรามองสถานการณ์ปัจจุบันที่ดัชนี SET ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง จนสะท้อนระดับ Equity Risk Premium สูง 6.0% ซึ่งอยู่ในกรอบสูงระดับ Avg + 3sd เป็นจังหวะในการพิจารณาหาหุ้น Value Play โดยเราพิจารณาจากเกณฑ์ PER ต่ำกว่า 12 เท่า,
KSS ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการสะสมหุ้น เนื่องจาก SET ยังอยู่ใน Deep Value Zone โดยมีค่า PER ปี 2568 อยู่ระดับเพียง 11.68 เท่า ปัจจุบันมีหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนระยะยาว ได้แก่ 384 บริษัทที่มี PER ต่ำกว่า 12 เท่า, 486 บริษัทที่ให้ผลตอบแทน
Big Cap: LH BLA AP TLI BBL TOP PTTEP PTT KBANK KTB
Mid-Small Cap: GLOBAL AMATA ERW SC JUBILE ILM ROJNA BCPG
KSS ระบุว่า SET Index ปรับตัวลดลงกว่า -24%ytd จากดัชนีระดับ 1400 จุด สู่ระดับ 1060 จุด สวนทางกับระดับคาดการณ์ EPS ของ Consensus ของดัชนี ที่ปรับลงจากระดับ 96.0 บาท สู่ระดับปัจจุบันที่ 90.69 คิดเป็นเพียงราว -5.5%ytd สะท้อนว่าตลาด Price In ความเสี่ยงแทบจะทั้งหมดลงในระดับดัชนีปัจจุบันแล้ว ส่งผลให้เรามองเป็นจังหวะที่ดีในการ Update กลยุทธ์ Value Play อีกครั้ง โดยพบว่ามีหุ้นที่เข้าเงื่อนไขเกณฑ์ Value Play ที่เราใช้เพิ่มมากขึ้น มองเป็นโอกาสในการสะสมหุ้น Deep Value ที่จะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทั้งภายและภายนอกจำกัด
ทั้งนี้ SET Index ที่ปรับลงมามากส่งผลให้ดัชนี ณ ปัจจุบันสะท้อน ERP ระดับ 6.0% ซึ่งทะลุกรอบ Avg + 3sd. ขึ้นไป
ในบรรดาหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai จำนวน 914 บริษัท พบว่า
– 384 บริษัท มีค่า PER ต่ำกว่า 12 เท่า คิดเป็น 41.16% ของทั้งตลาด
– 486 บริษัท ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงกว่า 3% คิดเป็น 52% ของทั้งตลาด
– 626 บริษัท มี PBV ต่ำกว่า 1 เท่า คิดเป็น 67.1% ของทั้งตลาด
– 214 บริษัท มีคุณสมบัติครบทั้งสามข้อ คิดเป็น 22.94% ของทั้งหมด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 68)