กรุงศรีฯ ชี้ “นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่” ไม่กระทบ GDP ไทยปี 68 ยังคงเป้า 1.5-2.1% จับตาเจรจาสหรัฐ

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนายการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ประเมินเพิ่มความผันผวนระยะสั้น แต่ไม่กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 68 โดย BAY ยังคงเป้า GDP ปี 68 1.5-2.1%

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมา ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 0.15 บาท/ดอลลาร์ แม้ผลกระทบอาจไม่ได้มาก แต่ตลาดพยายามมองในระยะถัดไปว่าจะส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบายและเสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร

สำหรับเป้าหมาย GDP ที่ 1.5-2.1% ยังไม่ได้รวมประเด็นการเมืองไว้ในประมาณการ แต่อย่างไรก็ตาม BAY มองว่าภาคส่งออกมีน้ำหนักต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันให้กรณี Worst case การเติบโตของส่งออกที่ 0%

นางสาวรุ่ง มองว่า หากมีการยุบสภาโดยไม่ทันตั้งตัวจะถือเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีสัญญาณ อีกทั้งงบประมาณปี 68 ยังคงเบิกจ่ายได้ แต่หากงบประมาณปี 69 ชะลอออกไป หรือการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐไม่เป็นไปตามคาด ทำให้ไทยต้องเผชิญกำแพงภาษีสูงกว่าคู่แข่ง จะเป็นกรณีที่เลวร้ายมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ GDP เติบโตใกล้ 1.5% โดยมองว่าปัจจัยการเมืองจะเพิ่มความผันผวนกับค่าเงินบาทในระยะสั้น แต่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โตต่ำกว่า 1.5%

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าจะกลับมาผันผวนสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และผลต่อต้นทุนพลังงาน โดยประเมินว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเล็กน้อยในไตรมาส 4/68 ในกรอบกว้างที่ 31.75-34.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานสำคัญที่สหรัฐฯอาจลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และปัจจัยลบของเงินดอลลาร์ในตลาดโลกยังคงดำเนินต่อไป

“สกุลเงินของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออกสูง รวมถึงเงินบาท อาจอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักเช่น เงินเยน และเงินยูโร ขณะที่การค้าโลกเข้าสู่ภาวะซบเซา คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปีจากระดับ 1.75% ในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจซึ่งเผชิญหลากหลายความเสี่ยงด้านขาลง” นางสาวรุ่ง กล่าว

นางสาวรุ่ง กล่าวว่า นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐกดดันดอลลาร์อ่อนค่าลง เนื่องจากวัฏจักรเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวจะเอื้อให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยลงในระยะข้างหน้า อีกทั้งความกังวลของตลาดเกี่ยวกับสถานะการคลังสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงผู้ค้าสำคัญของสหรัฐฯ มีเวลาเตรียมตัวตั้งรับด้วยการสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศเพื่อชดเชยผลกระทบจากสงครามการค้า แม้ในกรณีที่ความตึงเครียดด้านการค้าคลี่คลายลง การฟื้นตัวของเงินดอลลาร์จะถูกจำกัดด้วยความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป ซึ่งเป็นผลของนโยบายการค้าสุดโต่งและปรับเปลี่ยนไปมา

แม้ตลาดมองสินทรัพย์สหรัฐน่าดึงดูดน้อยลง แต่กระแสเงินทุนสุทธิไม่ไหลเข้าไทย โดบนับตั้งแต่วันที่สหรัฐประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 นักลงทุนต่างชาติถอนพันธบัตรไทยในอัตราเร่ง รวมทั้งหุ้น โดยภาพรวมนักลงทุนต่างชาติอยู่ในฝั่งขายสุทธิ แต่จากข้อมูลเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุมากกว่า 1 ปี สะท้อนเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ไม่ได้อยู่ในภาวะที่มีสัญญาณล้มละลาย และมีความมั่นคง ความเสี่ยงที่จะเกิดกระแสเงินทุนไหลออกอย่างฉับพลันต่ำ เนื่องจากยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง แต่การที่ต่างชาติขายหุ้นบ่งชี้ว่าตลาดมองเศรษฐกิจไทยไม่โตหรือโตต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค

นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ BAY กล่าวว่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันพบว่ามีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบและเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ จะยังคงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งสนับสนุนลูกค้าและผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายดังกล่าวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยเช่นกัน

ในปี 68 กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ มุ่งสร้างการเติบโตของธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนด 4 กลยุทธ์หลักซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับมิติ ESG การส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ การขยายฐานธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล และ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/68 ปริมาณธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราการส่งออกและนำเข้าในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ค. 68)