In Focus: สงครามชั่วนิรันดร์ของเนทันยาฮู เกมยื้ออำนาจที่ไม่มีวันจบ

ท่ามกลางควันระเบิดจากเหตุการณ์โจมตีโรงพยาบาลนาสเซอร์ในกาซา ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 20 ราย รวมถึงผู้สื่อข่าว 5 ราย และบุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “ความผิดพลาดที่น่าเศร้า” พร้อมแก้ต่างว่า “อิสราเอลให้ความสำคัญกับการทำงานของผู้สื่อข่าว บุคลากรทางการแพทย์ และพลเรือนทุกคน”

ในสงครามที่ยืดเยื้อใกล้จะครบ 2 ปี วาทกรรมทำนองนี้กลายเป็นเรื่องที่ได้ยินจนชินหู ทว่ามันกลับบดบังความจริงที่ซ่อนอยู่ว่า การโจมตีครั้งนี้คือผลลัพธ์ที่คาดเดาได้จากยุทธศาสตร์ซึ่งมุ่งหล่อเลี้ยงความขัดแย้งให้คงอยู่ตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับที่กลุ่มฮามาสได้ตอบรับข้อเสนอหยุดยิงในฉนวนกาซา จึงยิ่งตอกย้ำความเห็นของนักวิเคราะห์หลายคนว่า เป็นเนทันยาฮูเองหรือไม่ ที่ต้องการลากยาวสงครามนี้ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ยุทธศาสตร์การยืดเยื้อสงครามนี้หยั่งรากลึกมานานหลายทศวรรษ ก่อนหน้าเหตุการณ์ 7 ตุลาคมเสียอีก มันคือผลผลิตของนโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ที่รัฐบาลเนทันยาฮูในอดีตได้ “เลี้ยงไข้” กลุ่มฮามาสอย่างเงียบ ๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือถ่วงดุลอำนาจกับองค์การบริหารแห่งปาเลสไตน์ (PA) ซึ่งเป็นรัฐบาลปาเลสไตน์อีกขั้วที่ปกครองเขตเวสต์แบงก์ การปล่อยให้ปาเลสไตน์แตกแยกเป็นสองขั้ว คือหลักประกันว่าจะไม่มีผู้นำปาเลสไตน์ที่เป็นเอกภาพพอจะผลักดันการเจรจาสู่การก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ได้ ดังนั้น สงครามในปัจจุบันจึงเป็นความต่อเนื่องของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เนทันยาฮูสร้างขึ้นมาเอง

เกือบ 2 ปีมานี้ ทุกครั้งที่หนทางทางการทูตปรากฏขึ้น เนทันยาฮูก็จะนำพาอิสราเอลกลับสู่สมรภูมิอีกครั้ง โศกนาฏกรรมที่โรงพยาบาลนาสเซอร์จึงเป็นเพียงตัวอย่างล่าสุดของผู้นำที่ต้องอาศัยสงครามเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง

 

แสร้งเจรจาบนเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม คณะรัฐมนตรีของเนทันยาฮูได้ไฟเขียวปฏิบัติการเต็มรูปแบบเพื่อเข้ายึดครองกาซาซิตี้ แม้ถูกทัดทานจากนายพลเอยัล ซามีร์ เสนาธิการกองทัพอิสราเอล ซึ่งเตือนว่า ปฏิบัติการนี้ไม่ต่างจาก “กับดักมรณะ” ของเหล่าทหาร และยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อตัวประกันที่เหลืออยู่

การตัดสินใจที่ขัดแย้งกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดในประเด็นชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจนี้มาจากความจำเป็นทางการเมือง ไม่ใช่เหตุผลทางยุทธศาสตร์การทหาร เป้าหมายที่แท้จริงดูเหมือนจะเป็นการคงสภาวะสงครามให้คุกรุ่นต่อไป ไม่ใช่การมุ่งสู่ชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แนวทางแข็งกร้าวทางการทหารนี้ยังดำเนินควบคู่ไปกับการขัดขวางกระบวนการทางการทูตอย่างจงใจ ทันทีที่แผนบุกกาซาซิตี้ได้รับอนุมัติ รัฐบาลเนทันยาฮูก็พลิกเงื่อนไขการหยุดยิงเสียใหม่ จากที่เคยเจรจาเป็นระยะ ๆ มาตลอด 2 ปี ข้อเรียกร้องใหม่กลับกลายเป็นเงื่อนไขแบบ “ยื่นคำขาด” คือฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมด เพื่อแลกกับการยุติสงครามอย่างสมบูรณ์ภายใต้เงื่อนไขของอิสราเอล ซึ่งรวมถึงการปลดอาวุธกลุ่มฮามาสทั้งหมด นี่คือเงื่อนไขที่รัฐบาลอิสราเอลรู้ดีว่าฮามาสจะไม่มีวันยอมรับ

วิธีการนี้จึงเป็นเพียงการสร้างภาพว่ากำลังเจรจา แต่แท้จริงแล้วคือการประกันว่าจะไม่มีดีลใด ๆ เกิดขึ้น เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดฉากบุกครั้งต่อไป ราคาที่ต้องจ่ายจากยุทธศาสตร์นี้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อโครงการจัดประเภทความมั่นคงทางอาหารแบบบูรณาการ (IPC) ซึ่งเป็นความร่วมมือของหลายฝ่ายที่ประกอบด้วยหน่วยงานสหประชาชาติและกลุ่มเอ็นจีโอนานาชาติ ระบุว่า มีการยืนยันภาวะทุพภิกขภัยในเขตกาซา ซึ่งรวมถึงกาซาซิตี้ นับเป็นหายนะทางมนุษยธรรมที่รุนแรงขึ้นจากปฏิบัติการทางทหารที่ไม่สิ้นสุด

 

ค้ำจุนรัฐบาลบนปากเหว

นักวิเคราะห์มองว่า สงครามกาซากลายเป็นเครื่องมือค้ำจุนรัฐบาลที่กำลังยืนอยู่บนปากเหว สืบเนื่องจากประเด็นร้อนเรื่องการเกณฑ์ทหารของชาวยิวกลุ่มเคร่งศาสนา หรือที่เรียกว่า ฮาเรดี โดยเนทันยาฮูสามารถประคองรัฐบาลผสมของเขาให้รอดพ้นจากการประชุมรัฐสภาสมัยฤดูร้อนมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด แม้ 2 พรรคเคร่งศาสนา ได้แก่ พรรคชัส (Shas) และสหภาพยูดายแห่งโทราห์ (United Torah Judaism) จะยอมถอนตัวจากคณะรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านกฎหมายเกณฑ์ทหาร แต่ก็ยังคงร่วมรัฐบาลอยู่ ทำให้รัฐบาลเนทันยาฮูตกอยู่ในสภาพเปราะบางแต่ยังไม่ล่มสลาย

ก่อนหน้านี้ ชุมชนฮาเรดีได้ประกาศสงครามกับความพยายามบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร มีการประท้วงใหญ่ปะทะกับตำรวจหลายครั้ง เพื่อต่อต้านการจับกุมนักเรียนโรงเรียนสอนศาสนา (เยชิวา) ที่หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตนี้ได้ลุกลามจากเกมการเมืองในสภาไปสู่ความแตกแยกที่รุนแรงในสังคมแล้ว

เบนนี แกนต์ซ ผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญและอดีตเสนาธิการกองทัพ เสนอทางออกให้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติชั่วคราวเพื่อเจรจาปล่อยตัวประกันและผ่านกฎหมายเกณฑ์ทหาร ก่อนจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่

แต่เนทันยาฮูปฏิเสธทันที เพราะข้อเสนอนี้คือภัยคุกคามทางการเมืองของเขา รัฐบาลแห่งชาติอาจนำตัวประกันกลับบ้านได้สำเร็จตามที่ประชาชนต้องการ แต่นั่นหมายถึงการเริ่มนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งที่เนทันยาฮูมีแนวโน้มแพ้สูง เพราะเขามีชนักปักหลังจากความล้มเหลวครั้งประวัติศาสตร์ทั้งด้านข่าวกรองและความเป็นผู้นำในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2566 ที่ปล่อยให้กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลอย่างกะทันหันครั้งใหญ่ และจับคนเป็นตัวประกันจำนวนมากไปยังฉนวนกาซา

รัฐบาลผสมชุดปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยพรรคขวาจัดและพรรคเคร่งศาสนา จำเป็นต้องอาศัยสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างภาวะสงคราม เป็น “กาวใจ” ทางการเมือง หากสงครามสิ้นสุดลง กาวที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้ก็จะสลายไป และจะนำมาซึ่งการชำระสะสางทางการเมืองที่เนทันยาฮูพยายามหลีกเลี่ยงสุดชีวิต ดังนั้น วิกฤตการณ์จึงต้องดำเนินต่อไปไม่มีวันจบ

 

ราคาที่ต้องจ่าย

ขณะนี้ ทั้งในและนอกประเทศอิสราเอลต่างรับรู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายจากยุทธศาสตร์นี้อย่างเจ็บปวด กลุ่มครอบครัวตัวประกันได้ยกระดับการเคลื่อนไหวจากการเรียกร้องไปสู่การกล่าวหาอย่างตรงไปตรงมา โดยเดินขบวนประท้วงและประกาศว่ารัฐบาลเนทันยาฮูกำลังสละชีวิตตัวประกันโดยเจตนาเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตนเอง ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศก็ตึงเครียดอย่างหนักจากสงครามที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะผลกระทบจากการระดมพลทหารกองหนุนอย่างต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ ซึ่งดึงคนหนุ่มสาวออกจากตลาดแรงงานและสร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจอย่างมหาศาล

ในเวทีโลก สถานะทางการทูตของอิสราเอลกำลังถูกกัดกร่อนลงทุกขณะ เสียงประณามจากนานาชาติหลังเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนาสเซอร์และการประกาศภาวะทุพภิกขภัยคืออาการที่เห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น การที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มทยอยให้การรับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์ ก็เป็นความพยายามสร้างแรงกดดันทางการทูตและเสริมความชอบธรรมให้กับองค์การบริหารปาเลสไตน์ เพื่อเป็นทางเลือกที่จับต้องได้หลังสงคราม

ทว่าท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ บทบาทของพันธมิตรที่สำคัญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกากลับมีความซับซ้อน เพราะหลายครั้งแทนที่จะใช้อำนาจต่อรองเพื่อผลักดันข้อตกลงหยุดยิง กลับเลือกที่จะปล่อยให้เนทันยาฮูมีอิสระในการทำลายข้อตกลงเหล่านั้น ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ค้ำจุนยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อไปโดยปริยาย

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าเจ็บปวดยิ่งขึ้น คือความจริงที่ว่า ทางออกที่เป็นไปได้และเป็นรูปธรรมนั้นมีอยู่จริง และถูกวางบนโต๊ะเจรจามานานหลายเดือนแล้ว แผนการดังกล่าว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และชาติอาหรับ ประกอบด้วยการให้ฮามาสสละอำนาจแลกกับการหยุดยิงถาวร จากนั้นให้กองกำลังอาหรับเข้ามารักษาเสถียรภาพ และเตรียมการให้องค์การบริหารปาเลสไตน์ที่ปฏิรูปแล้วกลับมาปกครองกาซาอีกครั้ง แต่นี่คือแผนการที่เนทันยาฮูคัดค้านมาโดยตลอด การปฏิเสธทางออกที่เป็นไปได้เพียงทางเดียวนี้ คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเนทันยาฮูคือการทำให้สงครามนี้ไม่มีวันจบ

 

จุดจบคือการไม่มีวันจบ

สงครามครั้งนี้ได้สูญเสียเหตุผลตั้งต้นเรื่องการทำลายล้างฮามาสหรือการช่วยเหลือตัวประกันไปจนหมดสิ้น และกลายสภาพเป็นเพียงโล่กำบังทางการเมืองอย่างสมบูรณ์ เพื่อปัดความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2566 และเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวรัฐบาลผสมที่เปราะบางให้เกาะกลุ่มกันได้ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทุกปฏิบัติการทางทหาร ทุกการเจรจาที่ล้มเหลว ล้วนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อยื้ออำนาจทางการเมืองของเนทันยาฮูออกไป บทสรุปที่แท้จริงของเกมนี้จึงวนเวียนอยู่กับการเอาตัวรอดทางการเมืองไปจนถึงการประชุมสภาครั้งต่อไป หรือการเปิดฉากบุกครั้งใหม่ ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อให้สงครามนี้ไม่มีวันจบสิ้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)