
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (15 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบจากการที่ยูเครนใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย และการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กดดันให้ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.97% ปิดที่ 63.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ 0.67% ปิดที่ 67.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซียในเมืองคิริชี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ได้ระงับการแปรรูปน้ำมันหลังจากถูกโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านปธน.ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย แต่จะทำก็ต่อเมื่อสมาชิกทั้งหมดขององค์การนาโตยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และดำเนินมาตรการคว่ำบาตรตามสหรัฐ
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Price Futures Group กล่าวว่า การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันของรัสเซีย และการที่ทรัมป์พยายามกดดันผู้ซื้อน้ำมันดิบของรัสเซีย เป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันจันทร์
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ (12 ก.ย.) หลังจากยูเครนได้ทำการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันของรัสเซีย รวมถึงท่าเรือขนส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดอย่างพริมอร์สก์
ทั้งนี้ ท่าเรือพริมอร์สก์สามารถขนถ่ายน้ำมันดิบประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่โรงกลั่นคิริชีสามารถแปรรูปน้ำมันดิบรัสเซียประมาณ 355,000 บาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น 6.4% ของปริมาณทั้งหมดในประเทศ
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันพุธที่ 17 ก.ย.นี้ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 96.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมครั้งนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)