
การตัดสินใจของ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น [CRC] ที่เปิดเผยข้อมูลการขายห้างหรู Rinascente ในอิตาลี ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงกลางดึกของวันที่ 17 กันยายน 2568
พร้อมกับให้เหตุผลว่า เป็นการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะมุ่งเน้นขยายการลงทุนในไทย เวียดนาม ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง รวมถึงประเทศอื่นๆในทวีปเอเชีย ขณะที่ประเทศอิตาลีและยุโรปมีแนวโน้มการเติบโตด้านเศรษฐกิจและค้าปลีกต่ำกว่า
เช้าวันถัดมา พอข้อมูลดังกล่าวกระจายสู่มหาชน สิ่งที่สะท้อนออกมาเป็นภาพเชิงลบ คือ ราคาหุ้น ปรับตัวลดลงทันที แม้จะมีการประกาศจ่าย “เงินปันผล” จากการขายห้างหรูจำนวน 1.28 บาทต่อหุ้น ก็ไม่สามารถจูงใจให้นักลงทุนพอใจกับดีลที่คาดว่ากำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไป
จากภาพสะท้อนของราคาหุ้นที่ร่วงหนัก กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการนักลงทุน เพราะแทนที่จะได้รับเสียงเชียร์จากผู้ลงทุนในตลาด แต่กลับ กลับตอบสนองด้วยแรงขายและความกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับดีลนี้?
ห้าง Rinascente เป็น สินทรัพย์คุณภาพสูงที่มีการทำกำไรได้ต่อเนื่อง กำไรขั้นต้น (margin) ดี และถือเป็น cash cow ของ CRC ก็ว่าได้ ทำให้การขายกิจการครั้งนี้กลับถูกตีความว่าเป็นการดึงของดีออกจากพอร์ต
แม้จะนำเงินสดกลับมาให้กับผู้ถือหุ้นในรูปของเงินปันผลพิเศษ มากกว่าจะเป็นการ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ในระยะยาว
ที่สำคัญคือ ราคาที่ขาย แม้จะมีการบอกว่า “ได้พรีเมียมเมื่อเทียบกับห้างในยุโรป” แต่เมื่อนำมาคิดเป็น P/E กลับ ต่ำกว่าตัวแม่ CRC เอง ทำให้ยิ่งขาดเหตุผลเชิงกลยุทธ์
ผู้ถือหุ้นจำนวนไม่น้อยมองว่า CRC “ยอมขายอนาคต” แลกกับ “กำไรพิเศษ” ก้อนเดียว แบบไม่สมเหตุสมผล ทำให้ภาพ หรือ เครดิตของการมีภาพของ family business ถูกลดทอนลง ไปอยู่ในระดับเดียว กับ เจ้าสัว รายอื่นๆ ที่เคยมีประวัติมาก่อน
ภาพแรงขายของราคาหุ้นจึงถูกกดดันต่อเนื่อง เพราะตลาดมองว่ากำไรระยะยาวหายไปแล้ว
สิ่งที่น่ากังวลต่อมา คือ คำถามใหม่ที่เกิดขึ้น จากนี้ไปของทิศทางธุรกิจในอนาคตของ CRC ว่าจะไปต่อในรูปแบบใด!?
นี่คือสิ่งที่ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นไม่สามารถคาดเดาได้อีกต่อไป
เนื่องจาก นักลงทุนไม่ได้หลงไปกับคำโปรยสวยหรูอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็น “ลดหนี้” “โฟกัสตลาดเอเชีย” หรือ “ยืดหยุ่นรับเทรนด์ใหม่”
สิ่งที่นักลงทุนมองคือ แก่นธุรกิจที่ว่าสินทรัพย์ที่สร้างกำไรดี ทำไมถึงต้องขาย?
คำถามที่รอผู้บริหารตอบคือ เงินที่ได้มาในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะถูกนำไปลงทุนอะไรต่อที่จะสามารถให้ผลตอบแทนโตยิ่งกว่าการถือ Rinascente ไว้!?
ขอย้ำอีกครั้งว่า ดีลนี้อาจไม่ใช่แค่การขายสินทรัพย์ แต่กลายเป็น “บททดสอบความเชื่อมั่น” ของบริษัทกับนักลงทุนในตลาดหุ้น
การเรียกความเชื่อมั่นกลับมา คงต้องอาศัยการอธิบายเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนว่าเงินก้อนนี้จะต่อยอดไปสู่การเติบโตใหม่ที่ยั่งยืนได้อย่างไร มิฉะนั้น มันอาจจะกลายเป็นบาดแผลใหญ่ที่หลอกหลอนกลุ่มตระกูลไปอีกพักใหญ่ หากยังไม่สามารถหาคำตอบที่ดีได้ และเสี่ยงอาจจะถูกดาวน์เกรดจากสังคมได้ในอนาคต
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ก.ย. 68)