ดาวโจนส์ปิดบวก 66.27 จุด ทำนิวไฮ หุ้นเทคหนุนตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (22 ก.ย.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันวันที่ 3 เนื่องจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหนุนตลาด

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,381.54 จุด เพิ่มขึ้น 66.27 จุด หรือ +0.14%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,693.75 จุด เพิ่มขึ้น 29.39 จุด หรือ +0.44% และ
  • Nasdaq ปิดที่ 22,788.98 จุด เพิ่มขึ้น 157.50 จุด หรือ +0.70%

หุ้น 5 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.74% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 0.92% ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวลง 0.92% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง 0.9%

หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3.9% หลังจากอินวิเดียประกาศลงทุนในบริษัทโอเพนเอไอ (OpenAI) สูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ และจะจัดหาชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลให้กับโอเพนเอไอ ซึ่งความร่วมมือระหว่างบริษัทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลกนี้ จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นในโอกาสการเติบโตของ AI

หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) พุ่งขึ้น 4.3% ปิดที่ระดับ 256.08 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทหลักทรัพย์ Wedbush ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นแอปเปิ้ลขึ้นสู่ระดับ 310 ดอลลาร์ จากระดับ 270 ดอลลาร์ หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์ iPhone 17 ขณะที่หุ้นเทสลา (Tesla) ดีดตัวขึ้น 1.9%

หุ้นเคนวิว (Kenvue) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาไทลินอล (Tylenol) ปิดตลาดร่วงลง 7.47% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมประกาศว่าการใช้ยาบรรเทาปวดไทลินอลระหว่างตั้งครรภ์ อาจมีความเชื่อมโยงกับภาวะออทิซึม

ทั้งนี้ หลังตลาดปิดทำการ ปธน.ทรัมป์ประกาศว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) จะแนะนำให้แพทย์เตือนสตรีมีครรภ์ไม่ให้ใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (พาราเซตามอล) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในยาไทลินอล แต่หลังจากการประกาศดังกล่าว หุ้นเคนวิว ดีดตัวขึ้น 4.7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ

อย่างไรก็ดี นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าวปธน.ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็น 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google ที่พึ่งพาโครงการ H-1B มายาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่บางคนของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้แสดงความสงสัยถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังจากที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2567 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับลดเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป

อัลเบอร์โต มูซาเลม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ และราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับความเสี่ยงอันเนื่องมาจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น แต่การฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก

อย่างไรก็ดี สตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดซึ่งโหวตสวนมติในที่ประชุมเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยการสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ได้แสดงความเห็นในวันจันทร์ว่า นโยบายการเงินของเฟดในขณะนี้ถือเป็นระดับที่เข้มงวดแล้ว

นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) ในวันนี้ (23 ก.ย.) เวลา 12.35 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 23.35 น.ตามเวลาไทย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2568 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนส.ค. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)