ต่างชาติลงทุนไทย 8 เดือนปีนี้ 687 ราย เพิ่มขึ้น 28% ญี่ปุ่นยังครองแชมป์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ส.ค.68) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวมแล้ว 687 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 506 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 225,536 ล้านบาท

โดยการอนุญาตฯ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 152 ราย (คิดเป็น 28%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (535 ราย) ขณะที่มูลค่าการลงทุน เพิ่มขึ้น 125,474 ล้านบาท (125%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 2567 (100,062 ล้านบาท)

ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1. ญี่ปุ่น 125 ราย คิดเป็น 18% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 71,844 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทเครื่องประดับ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรทุกประเภท ชิ้นส่วนพลาสติกทุกประเภท ตัวถัง (frame) รวมทั้งชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถบ้าน และรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร

2. สหรัฐอเมริกา 105 ราย คิดเป็น 15% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,433 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนในการรับจองห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ ยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

3. สิงคโปร์ 93 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 68,495 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจอง และซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง ธุรกิจบริการ Data Center ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับ Optical Device และ Terminal Connector

4. จีน 87 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 20,785 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฎิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์จากผงโลหะ และ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

5. ฮ่องกง 74 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 12,372 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทาน และสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย ธุรกิจบริการรับจ้างตัดโลหะ ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ผลไม้แปรรูป และ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

 

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 8 เดือนของปี 2568 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 197 ราย คิดเป็น 29% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 34 ราย (21%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศจีน 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท ญี่ปุ่น 47 ราย ลงทุน 27,153 ล้านบาท สิงคโปร์ 21 ราย ลงทุน 12,940 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 81 ราย ลงทุน 19,837 ล้านบาท

ประเภทธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการเขต Data Center และ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ย. 68)