เวลามีน้อย! รมว.คมนาคม เร่งชง พ.ร.บ.SEC เข้าครม.-แลนด์บริดจ์-ตั๋วร่วมรถไฟฟ้าพ่วงรถเมล์

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ให้นโยบายเร่งด่วน 5 ข้อกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีเวลา 4 เดือน จึงต้องแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศและผลักดันงานที่จะสามารถเห็นผลได้ ควบคู่กับการวางรากฐานเพื่ออนาคต รวมถึงหาข้อสรุปในประเด็นต่างๆ ให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

1. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เฉพาะสนข.แต่ทุกหน่วยงานของกระทรวงคมนาคม ต้องเร่งจัดซื้อจัดจ้างให้ได้มากที่สุด

2. ผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (ร่างพ.ร.บ. SEC) เพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ เช่นเดียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. SEC ขณะนี้เหลือประเด็นกองทุนฯ โดยจะหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ในสัปดาห์หน้าก่อน จากนั้นจะนำเสนอที่ประชุม ครม.ต่อไป ขณะที่ขั้นตอนของร่าง พ.ร.บ.นั้น หลังจาก ครม.เห็นชอบ ต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และวุฒิสภา (สว.) อีก ซึ่งไม่น่าทัน 4 เดือนนี้ เนื่องจากสมัยการประชุมในชุดนี้จะปิดการประชุมวันที่ 31 ต.ค.นี้ ไปเปิดสมัยการประชุมอีกทีวันที่ 12 ธ.ค.68 ดังนั้นในกรอบ 4 เดือนจะผลักดันเข้า ครม.ให้ได้ก่อน

“เรื่องกองทุนในพ.ร.บ.SEC เพิ่งมีการหารือกันเสร็จ และในสัปดาห์หน้าจะพูดคุยกับกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง ก่อนจะนำเสนอที่ประชุมครม.ต่อไป ส่วนจะทัน 4 เดือนในวาระรัฐบาลนี้ ถ้าประกาศใช้ไม่น่าทัน แต่จะผลักดันให้ ครม.เห็นชอบก่อน”นายพิพัฒน์ กล่าว

3. เดินหน้าโครงการ Landbridge ก่อสร้างท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล อ่าวไทยและอันดามัน มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่มีระบบขนส่ง ทั้งทางถนน ราง และท่อ ระยะทางราว 90 กม.เชื่อมการขนส่ง สินค้า ตู้คอนเทนเนอร์ ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านท่าเรือ 2 แห่ง ช่วยร่นระยะทางในการขนส่ง

“หากไม่มีระบบแลนด์บริดจ์ โครงการจะไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะระบบท่อ คือการส่งน้ำมันดิบและแก๊ส เพราะแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ ด้านตะวันออกกลางข้ามมาได้ เลย ขณะที่ปัจจุบันการใช้ช่องแคบมะละกาค่อนข้างแออัด โครงการแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาขนส่งได้ 5 วัน และจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ที่สำคัญ จะเป็นการสร้างอาชีพ สร้างงานให้คนในพื้นที่ด้วย ได้ถึง 280,000 ตำแหน่ง”นายพิพัฒน์ กล่าว

พร้อมกันให้มีการศึกษาเพื่อขยายท่าอากาศยานชุมพรและระนอง เพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้า ที่เพิ่มขึ้นรองรับแลนด์บริดจ์ และวางแผนการพัฒนาระบบขนส่งให้เชื่อมต่อระบบ ล้อ–ราง–เรือ อย่างไร้รอยต่อ

4. พัฒนาระบบตั๋วร่วม และ ค่าโดยสารร่วม (Commom Ticket System) เพื่อให้ประชาชนใช้บัตรใบเดียวเดินทางได้กับขนส่งทุกระบบ ซึ่งจะส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และเมื่อค่าใช้จ่ายลดลงในทางกลับกันก็จะเป็นการเพิ่มรายได้ไปด้วย

5. จัดการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าจะต้องมีความปลอดภัยสูงสุด และช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า รัฐบาลมีระยะเวลา 4 เดือน สำหรับเรื่องตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม จะพยายามให้เกิดการเริ่มต้น เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันและวางกรอบเป็นข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน เพื่อให้มีกรอบสำหรับรัฐบาลหน้าเพื่อดำเนินการ โดยจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และต้องหารือกับผู้ประกอบการเอกชน ได้แก่ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ [BEM], บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง [BTS] ที่จะต้องร่วมมือกับทั้งระบบ

รวมถึงระบบรถเมล์ ที่มีขสมก.และรถเมล์เอกชนด้วย โดยจะวางโครงข่ายรถเมล์ ให้วิ่งแบบก้างปลา เพื่อทำหน้าที่ขนคนไปเข้าสู่ระบบรางที่เป็นระบบหลัก ถ้าทำได้ จะช่วยลดการใช้ระยนต์ส่วนตัว ลดความแออัดและลดปัญหาการจราจร

ส่วนประเด็นรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงที่เพิ่งมีการทบทวนมติ ครม.เดิม ซึ่งจะทำให้มาตรการสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย.68 ขณะนี้กระทรวงคมนาคมมีคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเร่งหารือกับกระทรวงการคลังในการกำหนดแนวทางและต่ออายุออกไปอย่างไร เพราะต้องนำเรื่องระบบตั๋วร่วม รถไฟฟ้าและรถเมล์เข้าไปพิจารณาร่วมด้วย ซึ่งตั้งเป้าให้ได้ข้อสรุปในวันที่ 15 พ.ย.68 นี้

“ระบบตั๋วร่วมจะต้องรวมทั้งระบบรางและรถเมล์ทั้งหมด เป็นโครงข่ายเดียวกัน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชนที่ปัจจุบันต้องจ่ายค่ารถเมล์ที่ 8-25 บาท ส่วนรถไฟฟ้าจะอยู่ที่ 17-45 บาท โดยแต่ละระบบรถไฟฟ้าจะมีค่าแรกเข้า ซึ่งจะใช้ตั๋วร่วมนี้ในการไม่ต้องจ่ายตรงนี้ลงไป โดยปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรถเมล์ 6 แสนคน/วัน ขณะที่ผู้โดยสารรถไฟฟ้าอยู่เกือบ 2 ล้านคน/วัน ขณะที่ ภายใน 4 เดือนนี้ ขสมก.จะสรุปการเช่ารถเมล์ EV จำนวน 1,520 คัน และรับมอบในปี 69 จากนั้นจะทยอยปลดระวางรถเมล์ร้อนต่อไป”นายพิพัฒน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ต.ค. 68)