ดาวโจนส์ปิดบวก 81.82 จุด จับตาสหรัฐฯ เสี่ยงชัตดาวน์

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคาร (30 ก.ย.) และปรับตัวขึ้นทั้งในรายเดือนและรายไตรมาส แม้ว่านักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะถูกปิดทำการ (ชัตดาวน์) ซึ่งอาจทำให้การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญมีความล่าช้า และส่งผลให้แนวโน้มนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เผชิญกับความไม่ชัดเจน

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,397.89 จุด เพิ่มขึ้น 81.82 จุด หรือ +0.18%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,688.46 จุด เพิ่มขึ้น 27.25 จุด หรือ +0.41% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,660.01 จุด เพิ่มขึ้น 68.86 จุด หรือ +0.30%

ตลอดเดือนก.ย. ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 3.53% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย.ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 5.61% และดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.87% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย.ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562

เมื่อพิจารณาตลอดทั้งไตรมาส 3/2568 ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 7.79% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 11.24% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553 และดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 5.22%

ทั้งนี้ การที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500, Nasdaq และดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง อีกทั้งช่วยให้ดัชนี S&P500 และดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นรายเดือนติดต่อกันเป็นเดือนที่ห้า ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ทำสถิติเพิ่มขึ้นรายเดือนติดต่อกันเป็นเดือนที่หก

นักลงทุนจับตาความเสี่ยงที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะเผชิญกับการชัตดาวน์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตยังคงมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงในการจัดสรรงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลสามารถดำเนินการต่อไปได้

หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านกฎหมายงบประมาณชั่วคราวระยะเวลา 7 สัปดาห์ หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็จะเริ่มเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันพุธที่ 1 ต.ค. ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเวลา 11.01 น.ตามเวลาไทย ซึ่งจะเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี

แม้ในช่วงที่ผ่านมา การชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลจะมีผลกระทบต่อตลาดในวงจำกัด แต่นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนมากกว่าเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในขณะนี้อยู่ในภาวะเปราะบาง

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ทางกระทรวงจะไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหากรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่จะได้รับผลกระทบได้แก่ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 2 ต.ค., ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 3 ต.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 15 ต.ค.

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 2.45% และ 0.86% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวลง 1.07% และ 0.55% ตามลำดับ

หุ้น Pfizer ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ในดัชนี S&P500 โดยพุ่งขึ้น 6.8% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลจะปรับลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ทั้งหมดในโครงการ Medicaid สำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย และจะขายยาตามใบสั่งแพทย์ใหม่ในราคาเท่ากับประเทศที่มีราคายาต่ำสุดในโลก

ทั้งนี้ ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้นโยบาย Most Favored Nation เพื่อลดราคายาในสหรัฐฯ โดยเขากล่าวว่าจะใช้นโยบายดังกล่าวเพื่อลดราคายาในสหรัฐฯ ลง 30-80% เพื่อให้ชาวอเมริกันจ่ายเงินซื้อยาในราคาเท่ากับประเทศที่มีราคายาต่ำสุดในโลก

หุ้นกลุ่มขนส่งในดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Transportation Average Index) ปรับตัวลง 0.4% โดยหุ้น Southwest Airlines ดิ่งลง 2.6% และ United Airlines ร่วงลง 2.2% ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของชัตดาวน์ โดยกลุ่มตัวแทนสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐฯ เตือนว่า การปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางบางส่วนอาจสร้างความตึงเครียดต่ออุตสาหกรรมการบินของอเมริกา และทำให้เที่ยวบินล่าช้า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และการทำงานในหน้าที่อื่น ๆ ก็จะถูกระงับเช่นกัน

ส่วนในการเตรียมรับมือกับภาวะชัตดาวน์นั้น กระทรวงคมนาคมของสหรัฐฯ ระบุว่า พนักงานมากกว่า 11,000 คนที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในองค์กร จะถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (furlough) หากงบประมาณชั่วคราวของรัฐบาลหมดลงในเวลาเที่ยงคืนของวันพุธที่ 1 ต.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศกว่า 13,000 คน จะถูกกำหนดให้ทำงานต่อไปโดยไม่ได้รับค่าจ้าง จนกว่าสถานการณ์ชัตดาวน์จะสิ้นสุดลง

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเพิ่มขึ้น 19,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.227 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.185 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.208 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค.

กระทรวงระบุว่า การจ้างงานลดลง 114,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 5.126 ล้านตำแหน่ง ส่วนตัวเลขปลดออกจากงานลดลง 62,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 1.725 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS เป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ต.ค. 68)